มาลินีเปื้อนโคลนแทบจะทั้งตัว เดินกระย่องกระแย่งเหมือนขยะแขยงตัวเองมาตามคันนา แม่ปุยหิ้วปิ่นโตจะเอาไปส่งลีนวัตร ถึงกับชะงักกึกหยุดเพ่งมองเธออย่างไม่แน่ใจว่าคนหรือตัวประหลาด พอเธอเดินใกล้ เข้ามา แม่ปุยจึงสอบถามเธอว่า ใช่หลานสาวคุณนายวันหรือเปล่า มาลินีทำหน้าแปลกใจก่อนตอบรับ แม่ปุยจึงแนะนำตัวว่าเธอเป็นแม่ไอ้ปื๊ด
"อ๋อ สวัสดีค่ะคุณป้า เมื่อวานหนูว่าจะไปเยี่ยมที่บ้านแล้ว แต่ค่ำมืดซะก่อนเลยไม่ได้ไป หนูสวัสดีอย่างเป็นทางการตรงนี้เลยก็แล้วกันนะคะ"
มาลินียกมือที่เปื้อนโคลนดำปี๋ขึ้นมาไหว้ แม่ปุยรับไหว้แล้วเกิดสงสัยว่ามาลินีไปลุยโคลนเลนที่ไหนมา มาลินีเลยถือโอกาสฟ้องฉอดๆ
"หนู ถูกแกล้งน่ะสิคะคุณป้า คงเป็นอันธพาลแถวนี้แหละค่ะ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ หนูอาศัยเรือเขามา เขาก็แกล้งหนูสารพัด หลอกให้หนูเดินหลงทางอยู่ตั้งนาน นอกจากอันธ� พาลแล้วหนูว่าเขาต้องเป็นโรคจิตด้วย ผู้ชายที่ไหนจะชอบแกล้งผู้หญิง จริงไหมคะคุณป้า หนูมั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนแถวนี้แหละ ผู้ใหญ่ลีจะปล่อยให้ลูกบ้านตัวเองมีนิสัยแย่ๆอย่างนี้ไม่ได้หรอก จริงไหมคะคุณป้า"
"ค่ะ จริงค่ะ คุณกลับไปล้างเนื้อล้างตัวซะก่อนดีกว่า อิฉันจะเอาปิ่นโตไปส่งผู้ใหญ่ลีแก เดี๋ยวอิฉันจะจัดการ...เอ๊ย... จะบอกแกให้ค่ะ"
"ขอบ คุณค่ะคุณป้า" มาลินีเดินกระย่องกระแย่งลากรองเท้า ที่หุ้มหนาไปด้วยโคลนกลับไปทางบ้าน ส่วนแม่ปุยเดินจ้ำไปอีกทาง...ครู่เดียวแม่ปุยก็ไปถึงตัวลีนวัตร แม่ปุยจู่โจมเข้าหยิกแขนลีนวัตรเจ็บจนหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
"โอ๊ยแม่...หนูเจ็บนะ หนูโตจนเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นอายเขาตาย เสียปกครองหมด"
"แล้วถูกคุณเขาด่าเอาว่าเป็นอันธพาล แถมโรคจิตล่ะ ผู้ใหญ่ไม่อายเขาเรอะ"
"ก็ช่างเขาสิแม่ ความจริงมันไม่ได้เป็นยังงั้นซะหน่อย"
"แม่ถามจริงๆเหอะผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไปแกล้งคุณเขาทำไม นั่นน่ะหลานแท้ๆคุณนายวันเชียวนา...จะทำอะไรก็น่าจะนึกถึงคุณนายวันแกบ้าง"
"ก็เพราะนึกถึงคุณนายวันน่ะสิแม่ หนูถึงได้ทำ
อย่างนี้"
"แม่ไม่เข้าใจ"
"เอาเป็นว่าหนูหมั่นไส้คนกรุงเทพฯเฉยๆก็ได้"
"เหตุผลไม่เข้าท่า แล้วจะเลิกแกล้งเขาเมื่อไหร่"
"ก็ จนกว่าจะหายหมั่นไส้นั่นแหละแม่" ลีนวัตรทำเป็นเลิกสนใจ คว้าปิ่นโตอาหารมากิน แม่ปุยส่ายหน้าไม่เข้าใจลูกชาย บ่นงึมงำว่าอยู่ดีๆก็ทำให้คนเขาเกลียด...

ด้านมาลินี หลังจากอาบน้ำแต่งตัวใหม่ก็เตรียมออกจากบ้านอีก ตั้งใจจะไปฟ้องผู้ใหญ่ลีให้จัดการลูกบ้านป่าเถื่อนไร้การศึกษาที่ชอบแกล้ง เธอ...ครั้นมาลินีออกเดินไปทางเก่าก็เจอแม่ปุยหิ้วปิ่นโตเปล่าสวนกลับมา ระหว่างนี้เองมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักแม่ปุย มาลินีมองๆแล้วเข้าใจไปเองว่าชายคนนี้คือผู้ใหญ่ลี สามีของแม่ปุย จึงรีบเข้ามาทักทายด้วยไมตรี ก่อนจะฟ้องเรื่องที่โดนลูกบ้านของผู้ใหญ่ลี กลั่นแกล้งตั้งแต่วันแรกที่มาถึง แม่ปุยพยายามจะบอกมาลินีแต่ก็ไม่มีช่อง เพราะมาลินีพูดจ้อแทบไม่หายใจ จนกระทั่งชายคนนั้นถามแม่ปุยว่าผู้ใหญ่ลีอยู่ไหน มาลินีถึงชะงัก
"หมายความว่า...คุณลุงคนนี้ไม่ใช่สามีคุณป้า แล้วก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ลีด้วย"
"ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ" สิ้นคำของแม่ปุย มาลินียิ้มแหย หน้าแตกยับเยิน...


ooooooo


หลังจากนั้นแม่ปุยเดินมาส่งมาลินีถึงบ้านคุณ-นายวัน และนั่งคุยกันต่อที่แคร่หน้าบ้าน
"แล้วนี่คุณกินข้าวกินปลาหรือยังคะ"
"ปกติเช้าๆ หนูไม่ทานอะไรอยู่แล้วค่ะคุณป้า บางทีแค่กาแฟถ้วยเดียวก็พอแล้ว"
"แล้วจะมีเรี่ยวมีแรงทำงานเหรอคะ คนกรุงเทพฯ
นี่แปลกจัง"
"คนอื่นหนูไม่ทราบนะคะ แต่สำหรับหนู หนูต้องคุมน้ำหนักค่ะ"
"โถ...ผอมจนเห็นกระดูก ลมพัดมาทีเดียวก็แทบจะปลิว อย่างนี้ยังจะต้องคุมน้ำหนักอีกเหรอคะ"
"แต่กลับไปนี่หนูคงต้องไปลดละค่ะคุณป้า น้ำหนักขึ้นแน่ๆ แค่มื้อค่ำเมื่อวานที่ปื๊ดหิ้วมา หนูเผลอทานเข้าไปตั้งเยอะ เพราะอร่อยมากค่ะ"
"กับ ข้าวพื้นๆทั้งนั้นละค่ะคุณ ไม่มีอะไรดีเด่ ผักก็ผัก รอบๆบ้าน ปลูกเอาเองทั้งนั้น ผู้ใหญ่ลีแกปลูก ผักอะไรต่อมิอะไรปลูกหมด ปลูกตะพึดตะพือ"
ได้ยินชื่อผู้ใหญ่ลีซึ่งมาลินีเข้าใจว่าเป็นสามีของแม่ ปุย และคิดว่าทั้งคู่เป็นพ่อแม่ของปื๊ด...มาลินีจึงถามแม่ปุยว่าเมื่อไหร่ เธอจะได้พบผู้ใหญ่ลี แม่ปุยเลยอึกอักๆว่า คุณอาจจะได้เจอแล้ว แต่ไม่คิดว่าเป็นผู้ใหญ่ลีก็ได้
"ไม่มีนะคะ ตั้งแต่หนูมาเมื่อวาน หนูยังไม่เจอใครที่ดูอายุมากพอจะเป็นผู้ใหญ่บ้านเลยซักคน"
"เมื่อคืนผู้ใหญ่ลีเขายังมาเดินยามให้ที่นี่เลย"
"เหรอ คะ...ตายจริง ถ้าอย่างนั้น..." มาลินีนึกถึงเหตุการณ์ เมื่อคืนที่เธอเขวี้ยงสากกะเบือออกทางหน้าต่าง "ต้องใช่แน่ๆเลยค่ะ เมื่อคืนหนูได้ยินเสียงแปลกๆ นึกว่าขโมย หนูเลยเขวี้ยง ไอ้นี่ออกมา"
มาลินีเดินไปเก็บสากกะเบือไม้บนลานดิน แม่ปุยเห็นสากกะเบือก็สยองสะดุ้งแทนลูกชาย
"ท่าทางจะโดนเข้าเต็มๆด้วยละค่ะ ตายจริง หนูต้อง
ฝากขอโทษแล้วก็ฝากขอบคุณคุณลุงผู้ใหญ่ไปด้วยก็แล้วกันนะคะ อุตส่าห์มีน้ำใจมาดูแลหนู แต่เคราะห์ร้ายต้องเจ็บตัวเพราะหนูแท้ๆ"
"ป้าว่าเอาไว้เจอกันแล้วค่อยสะสางกันเอาเองดีกว่ามังคะ"
มาลินีหน้าเจื่อน รู้สึกผิดที่ตัวเองทำร้ายผู้หลักผู้ใหญ่ ด้วยอาวุธชนิดนี้


ooooooo


หลัง จากแฟนสาวหายจ้อยไปอย่างไร้ร่องรอย ประดิษฐ์หงุดหงิดกระวนกระวาย รู้สึกชีวิตของตนติดขัดไปหมด เงินไม่มีใช้ อาหารก็ไม่มีกิน ต้องสั่งอาหารธรรมดาๆข้างล่างคอนโดฯขึ้นมาประทังความหิว แล้วพยายามโทร.ติดต่อมาลินีอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีสัญญาณเอาเสียเลย
จน เข้าวันที่สอง ประดิษฐ์ทุรนทุรายไปคาดคั้นเอากับสองสาวเพื่อนซี้ของมาลินี ทั้งยังกล่าวหาว่าทั้งคู่เอามาลินีไปซ่อน สมรน่ะไม่เท่าไหร่ แต่วลัยที่ชังน้ำหน้าประดิษฐ์อยู่เป็นทุนถึงกับปี๊ดแตก ด่าว่าประดิษฐ์อย่างไม่เกรงใจ ประดิษฐ์เองก็ปากจัดตอบโต้วลัยอย่างดุเดือดจนเกือบจะวางมวยกัน ถ้าสมร ไม่กางกั้นและพยายามไกล่เกลี่ย
เมื่อรู้ว่ามาลินีไปต่างจังหวัดแต่ไม่รู้ ไปจังหวัดไหน ไปกับใคร แล้วเมื่อไหร่จะกลับ ประดิษฐ์ก็ยิ่งสำแดงฤทธิ์เดช โวยวายหยาบคายจนวลัยทนไม่ได้ชี้หน้าด้วยความโมโห
"นี่...คุณประดิษฐ์"
"กรุณาเรียกผมว่าดิ๊ก ผมไม่ชอบชื่อไทย"
"ชื่อเป็นฝรั่ง แต่ฉันไม่เห็นว่าคุณจะทำตัวเป็นผู้เจริญแล้ว อย่างฝรั่งเขาเลย"
ประดิษฐ์โกรธหูแดง สมรหน้าไม่ดี ปรามวลัยว่าพูดแรงไปหรือเปล่า
"แก เฉยๆ ฉันจัดการเอง" วลัยบอกเพื่อน แล้วฉะนายดิ๊กต่อ "ยัยมาน่ะเพื่อนรักของพวกฉัน ถ้าคุณคิดจะมาเป็นเพื่อนเขยพวกฉัน ขอบอกว่าคุณต้องปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ ขืนยังเห็นเพื่อนฉันเป็นของง่ายของตายก็ฝันไปเถอะ ยังมีผู้ชายดีๆ ที่คู่ควรกับยัยมาอีกเยอะ"
"มาเขาไม่มีวันเห็นคนอื่น แม้แต่พวกคุณดีไปกว่าผมหรอก ชาตินี้เขาขาดผมไม่ได้หรอก ไม่เชื่อก็คอยดู" ประดิษฐ์เอ่ยอย่างมั่นใจ แล้วยิ้มกวนๆ ก่อนจะออกไป วลัยโกรธ กำมือแน่น ถามสมรว่า ถ้าผู้หญิงชกหน้าผู้ชายผิดกฎหมายไหม เธออยากจะตั๊นหน้าหมอนี่จังๆซักที
"ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะวลัย ยังไงเขาก็เป็นแฟนของเพื่อนเรานะ..."


ooooooo


ที่ บ้านคุณนายวัน...แม่ปุยเทอาหารหมูที่ผสมแล้วลงในรางข้าวหมู มาลินียืนมองอย่างพะอืดพะอมกับกลิ่นที่ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีวันทำตัวให้ คุ้นชินได้
"ปกติให้มันกินวันละสองมื้อนะคะคุณ เพลกับเย็น ธรรมดาผู้ใหญ่เขาเป็นคนมาให้มันเอง ถ้าเขาธุระยุ่งบางทีก็ป้า บางทีก็เฉลา ฉลวย สลับกันมาค่ะ"
"เลี้ยงเอาไว้ทำไมคะคุณป้า"
"ก็เอาไว้ขายน่ะสิคะ คุณ หมูบางรุ่นจังหวะราคาดีๆ คนซื้อมาแข่งกันให้ราคาหน้าคอกนี่เลยนะคะ แทบจะวางมวยกันก็ยังเคย รุ่นนี้อีกซักเดือนสองเดือนก็ขายได้แล้ว ตอนคุณนายวัน ยังอยู่ บางปีขายหมูได้เป็นแสนเชียวนะคะคุณ"
"ยายคงสนุก แต่หนูคงจะไม่สนุกด้วยเท่าไหร่"
"หมูพวกนี้มันเลี้ยงง่ายจะตายไปค่ะคุณ อาบน้ำให้มันมั่ง ขยันล้างคอกให้มันหน่อย"
"บ้าน ตัวเองยังไม่มีเวลากวาดถูเลย ต้องมาล้างบ้านให้หมูอีก" มาลินีบ่นเบาๆ พอถูกแม่ปุยถามว่า คิดจะย้าย มาอยู่เลยเมื่อไหร่ มาลินีตอบทันทีว่า "หนูยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ เลยค่ะ"
"เอาเถอะค่ะ ค่อยๆคิดไป แต่ถ้าคุณมาอยู่ได้ คุณนายวันแกคงจะดีใจไม่น้อย" มาลินียิ้มแห้งแล้งเพราะท่าทางจะไม่มีวันนั้น "แหม เผลอแผล็บเดียวจะเที่ยงแล้ว ป้ากลับก่อนดีกว่า เย็นๆไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านสิคะคุณ"
"ค่ะ หนูก็อยากไปเที่ยวบ้านคุณป้าอยู่เหมือนกัน จะได้รู้จักผู้ใหญ่ลีซะที"
"เจอแน่ค่ะ เย็นๆค่ำๆละได้เจอแน่ ป้ากลับก่อนนะคะ"
แม่ปุยเดินออกไป มาลินีขยับเดินเข้ามาดูหมูในคอก เอามือปิดจมูกอย่างทนกลิ่นไม่ได้
"ซุปเปอร์โมเดลอย่างฉันจะต้องกลายมาเป็นคนเลี้ยงหมูเหรอ" ว่าแล้วเธอทำท่าขนลุกขนพองกับจินตนาการของตัวเอง
อีกพัก มาลินีสวมหมวกปีกกว้างแฟชั่นจ๋าเดินเรื่อยออกไปตามคันนาที่ทอดยาว เธอเห็นด้านหลังชายคนหนึ่งกับควายอีกตัวแช่อยู่ในน้ำ
"คุณ คะคุณ ที่ดินคุณนายวันไปสุดตรงไหนรู้ไหม ฉันเดินดูไม่เห็นล้อมรั้วอะไรไว้เลย แล้วจะรู้ได้ยังไง" ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องถาม ชายหนุ่มเจ้าของควายจึงเงยหน้ามอง
"นี่มันบ้านนอกนะคุณ ไม่ใช่กรุงเทพฯ เอะอะอะไรก็ล้อมรั้ว กลัวโจรมาปล้น"
"นี่ นายอีกแล้วเหรอ นายนี่มันกล้าจริงๆนะ ยังจะมา วนเวียนอยู่แถวนี้อีก" มาลินีคว้าไม้ขึ้นมาเตรียมป้องกันตัว ลีนวัตรรีบสั่งให้เธอหยุด แล้วชี้มือสาธยายอย่างรู้จริง
"สุดเขตที่คุณนายวันตรงนั้นแหละ ที่นาคุณนายวันมีสองร้อยไร่ ที่สวนอีกยี่สิบไร่ ข้ามมานี่ มันที่ผู้ใหญ่ลีเขา"
"อ้อ รู้ดี"
"แล้วตกลงจะขายไม่ขายล่ะ"
"ฉันจะขายหรือไม่ขายมันเกี่ยวอะไรกับนาย"
"ขาย ชัวร์ วันๆดีแต่แต่งหน้าทาปาก เดินบิดตูดไปเดินบิดตูดมา แล้วจะมาอยู่ยังไง ตายยังเขียด" มาลินีโกรธตัวสั่นที่โดนสบประมาท "กลับไปอยู่กรุงเทพฯ นอนคอนโดฯเปิดแอร์เย็นๆอยู่กับผัวเถอะคุ้ณ ขายที่ตรงนี้ได้ก็สบายไปทั้งชาติ ผู้ใหญ่ลีเขาอยากจะซื้ออยู่...ไปโว้ยอีเฉาก๊วย กลับบ้านเรา"
เฉาก๊วยลุก ขึ้นจากน้ำตัวดำมะเมื่อม มาลินีโกยแน่บ เพราะเข็ดขยาด หนีไปตั้งหลักไกลๆ ลีนวัตรกระโจนขึ้นขี่หลังเฉาก๊วย แล้วบังคับเดินตรงไปทางมาลินี
"หลบ... ทางควายเดิน คนหลบไปก่อน" เขาร้องบอก เธอจำใจลงจากคันนาเพื่อให้ควายเดิน ดีกว่ายืนขวางเสี่ยงให้มันขวิด...ลีนวัตรยิ้มชอบใจและสะใจ แหกปากร้องเพลงประจำตัว พาเฉาก๊วยผ่านไปอย่างลอยนวล ทิ้งมาลินีเต้นเร่าๆอยู่ในโคลน เจ็บใจที่เสียทีผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
ระหว่าง ทางกลับบ้าน ลีนวัตรเจอเหว่าซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของตน ลีนวัตรจึงวานเหว่าเอาควายเข้าคอก ส่วนตนจะไปถางหญ้าตรงหลักเขตที่ของคุณนายวัน ขณะเหว่าจูงควายออกไป ปื๊ดก็วิ่งหน้าเริ่ดสวนเหว่ามาเรียกพ่อให้รอด้วย เพราะนึกว่าพ่อจะไปบ้านคุณนายวัน พอรู้ว่าตนเองเข้าใจผิด ปื๊ดเลยร้องว้าด้วยความเซ็ง บอกพ่อไปเหอะ หนูมีงานสำคัญกว่าถางหญ้าต้องทำ
"ไปเฝ้าหลานสาวคุณนายวันเนี่ยนะ งานสำคัญของเอ็ง" ลีนวัตรดักคออย่างรู้ทัน
"แหมพ่อ ถ้าไม่เช้าถึงเย็นถึงจะชนะใจหญิงได้ไง พ่อนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย"
เด็กชายปื๊ดใช้ลิ้นเลียมือแผล็บแล้วป้ายเซตทรงผม ลีนวัตรหมั่นไส้ ดีดเข้าให้ทีนึง
"แก่แดดแก่ลมเกินไปแล้วเอ็ง กวาดบ้านถูเรือนรึยังก่อนออกมาเนี่ย"
"กวาดแล้วถูแล้ว" ตอบแล้วปี๊ดวิ่งหนีออกไปทันที
"ถึงวันที่เขาไป เอ็งจะอกหักเปล่าๆ ไอ้ปี๊ดเอ๊ย" ลีนวัตร เอ่ยขึ้นมา เหมือนจะย้ำเตือนตัวเองด้วยเหมือนกัน


ooooooo


มาลินี หิ้วรองเท้าคู่สวยที่เปื้อนโคลนจนไม่เหลือเค้าความงามความแพงมาวางใกล้ตุ่ม น้ำ แล้วจัดการล้างเท้าขัดถูโคลนออกจากเล็บอย่างได้รับทุกขเวทนายิ่ง
"เล็บฉัน...อุตส่าห์เพิ่งทำมา แล้วนี่กลับไปฉันจะมองหน้าคนทำเล็บได้ยังไง"
เสียงบ่นของมาลินีทำให้ปื๊ดต้องเดินเข้ามามองอย่างแปลกใจ
"คุณตกขี้โคลนท้องนาอีกแล้วเหรอครับ"
"ก็ใช่น่ะสิปื๊ด แย่จังเลยรองเท้าฉันแบรนด์เนมด้วย คู่นี้ตั้งเกือบหมื่น ฉันโกรธจริงๆนะเนี่ย"
"คุณตกลงไปได้ยังไงครับ วิ่งหนีอีเฉาก๊วยอีกรึเปล่า"
"ควาย น่ะมันไม่น่ากลัวเท่าคนหรอกปื๊ด ทั้งหยาบคาย อันธพาล แล้วก็ไม่ให้เกียรติผู้หญิง ฉันมั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนงานเลี้ยงควายของผู้ใหญ่ลีแหงๆเลย"
"พี่เหว่าน่ะเหรอครับ"
"ชื่ออะไรนะจ๊ะปื๊ด"
"ถ้าเป็นคนงานของพ่อที่ดูแลอีเฉาก๊วย ก็ต้องพี่เหว่าละครับ"
"นาย เหว่า...ดีล่ะ ฉันจะจำชื่อนี้ไว้จนตายเลย จะฟ้องพ่อเธอให้ไล่ออกด้วย" แต่ปื๊ดรับรองว่าพี่เหว่าเป็นคนดี "ดีเหรอ ชอบแกล้งผู้หญิงอย่างนี้เรียกว่าดีเหรอ ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย คอยดู นี่ปื๊ดเพิ่งกลับจากโรงเรียนเหรอ ฉันน่ะคิดถึงปื๊ดทั้งวันเลยรู้ไหม"
"จริงเหรอครับ" เด็กชายอายหน้าแดงบิดม้วนสุดเขิน
"จริงสิ ไม่มีปื๊ดซะคน ฉันว่าฉันลำบากมากเลยละ อย่างน้อยก็ไม่มีเพื่อนคุย แล้วก็ต้องทนกินข้าวกลางวันที่แสนจะไม่อร่อยเลย"
ปื๊ด อยากรู้เมื่อกลางวันมาลินีทำอะไรกิน มาลินีเล่าว่าเธอตั้งใจจะเจียวไข่ แต่ข้าวมันระเบิดออกมาจนล้นหม้อทำให้ไฟในเตาดับหมด เลยต้องกินข้าวต้มกับผักกาดกระป๋อง
"น่าสงสารจังเลยครับ เอายังงี้ดีกว่า แก้ตัวมื้อเย็น"
"ปื๊ดจะหุงข้าวเจียวไข่ให้ฉันเหรอจ๊ะ"
"เปล่าครับ ผมจะชวนคุณไปกินข้าวที่บ้านผมต่างหาก วันนี้แม่แกงส้มปลาช่อนหน่อไม้ดองด้วย พูดแล้วน้ำยาย
ไหย...ซี้ด"
มาลินีขอบใจหนุ่มน้อย และคาดหวังว่าเย็นนี้เธอจะได้เจอผู้ใหญ่ลีพ่อของปื๊ดสักที
ทางด้านผู้ใหญ่ลี เขาเพิ่งกลับขึ้นเรือน เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อหลังจากไปถางหญ้านานนับชั่วโมง
"ไปถึงไหนมาล่ะผู้ใหญ่" แม่ปุยร้องถามขณะเดินออกมาจากในครัว
"หลานสาวคุณนายวันแกอยากรู้ว่าเขตที่ดินอยู่ตรงไหนบ้าง หนูก็เลยไปถางหญ้าเอาไว้ให้ เขาจะได้เห็นแจ้งๆ"
เฉลาอยู่ในครัว เห็นปลอดคนไม่มีใครสนใจ เลยรีบแอบตักแกงส้มหน่อไม้ดองใส่ถ้วย แล้วเอาไปวางแอบมุมนึงที่พื้น
"ที่ ตั้งสองร้อยไร่ ถ้าขายแกก็ได้เงินโข หลานสาวคุณนายวันนี่แกเกิดมาโชคดีจริงๆนะแม่นะ" ฉลวยพูดแล้วพยักพเยิดกับแม่ ขณะที่มือก็ถูพื้นนอกชาน แต่แม่กลับไม่เห็นด้วย บอกว่าเขาอาจจะไม่ขายก็ได้
"แต่หนูว่ายังไงก็ขาย" ลีนวัตรสวนขึ้นมา "ไม่ขายแล้วเขาจะมาอยู่ยังไง เดินท้องนายังใส่รองเท้าส้นสูงเลยแม่ เขามาอยู่ไม่ได้หรอก อยู่กรุงเทพฯเขาเป็นดารา แต่มาอยู่นี่เขาไม่ได้เป็นอะไรเลย อกแตกตายกันพอดี"
เฉลาโผล่ออกจากครัวจะลงไปข้างล่างเพื่อแอบเอาแกงส้มที่ ตักใส่ถ้วยไว้ไปให้เหว่า พอถูกแม่ถามว่าจะไปไหน เฉลาอ้างว่าจะไปโปรยข้าวให้ไก่ ฉลวยรีบบอกพี่สาวว่าตนให้แล้ว เฉลาเลยเปลี่ยนไปเก็บพริก แต่แม่ก็เก็บมาหมดแล้ว
"งั้นหนูไปตัดดอกไม้ มาบูชาพระแล้วกัน" เฉลาหาเรื่องลงจากเรือนไปจนได้ คนอื่นๆไม่ได้สนใจนัก มัวแต่สนใจเรื่องของมาลินีว่าจะขายหรือไม่ขายที่ ฉลวยที่รู้ใจพี่ชายว่าแอบชอบมาลินี จึงตั้งคำถามว่า ถ้าเขาเกิดขายขึ้นมา พี่ลีจะดีใจหรือเสียใจ ลีนวัตรย้อนน้องสาวว่าถามโง่ๆ ก็ต้องดีใจอยู่แล้ว ได้ที่เพิ่มทำไมจะไม่ดีใจ
"ดีใจจริงน่ะ" ฉลวยถามยิ้มๆ
"เอ...อะไรของเอ็งวะหลวย แซวอะไรเนี่ย"
แม่ปุยตัดบท ไล่ลูกชายไปอาบน้ำจะได้มากินข้าว
ลี นวัตรไม่วายเขกหัวฉลวยหนึ่งทีก่อนออกไป ฉลวยโอดครวญฟ้องแม่ ที่พี่ชายแกล้งเขกหัวตนอยู่ได้ ทั้งที่ตนโตแล้ว และฉลวยยังปากดีทำตัวเป็นหมอดูเดาใจพี่ชายว่าไม่อยากให้หลานสาวคุณนายวันขาย ที่ให้หรอก พี่ลีอยากเห็นหน้าเธอไปนานๆมากกว่า แม่ปุยเลยเขกหัวซ้ำไปอีกที โทษฐานที่ฉลวยรู้ดีนัก
มาลินีกำลังแต่งหน้าด้วยอุปกรณ์ชุดใหญ่เตรียมตัวจะไปกินข้าวเย็นกับปื๊ดที่บ้าน ปื๊ดนั่งมองตาค้างอย่างไม่เคยเห็น
"ไปกินข้าวเฉยๆ ผมว่าคุณไม่ต้องแต่งอะไรเลยก็สวยอยู่แล้วครับ"
"แหม... ถ้าผู้ชายทั้งโลกคิดได้อย่างปื๊ดก็ดีสิจ๊ะ ไม่ได้ หรอก ฉันเป็นซุปเปอร์โมเดลนะจ๊ะ จะปรากฏตัวต่อหน้าใคร ถ้าไม่ได้แต่งหน้า ฉันไม่มั่นใจหรอกจ้ะปื๊ด"
"ถ้าแม่แต่งยังงี้บ้างพ่อจะว่ายังไงน้า...คงขำกลิ้งไปเลย"
"ขำทำไมจ๊ะ เรื่องความสวยความงามกับผู้หญิงมันเป็นของคู่กัน พ่อปื๊ดจะยิ่งรักแม่เขาต่างหาก"
"พ่อเขาไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้าทาปากแดงๆหรอกครับ พ่อว่ามันเหมือนจะไปเล่นงิ้ว พวกผู้หญิงในตลาดแต่งหน้ากันมาจีบพ่อผม พ่อผมไม่แลซักคน"
"ก็พ่อเธอมีแม่เธอแล้ว จะไปแลใครได้ยังไงล่ะจ๊ะ"
"แม่ผมอยากให้พ่อมีแฟนเสียทีจะตาย"
"อะไรกัน...แม่เธอน่ะเหรออยากให้พ่อเธอมีแฟน"
"ครับ...แม่เปรยๆอยู่หลายหนว่าใครจะเหมาะกับพ่อ"
"นี่ฉันเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าเนี่ย คนแถวนี้คิดอะไรกันประหลาดๆ แล้วพ่อเธอเป็นคนเจ้าชู้ไหมจ๊ะปื๊ด"
"ไม่ หรอกครับ ไม่เจ้าชู้ เหมือนผมนี่แหละ แต่ก็มีผู้หญิงชอบมาส่งสายตาจีบพ่อเยอะแยะ" ยิ่งฟังมาลินีก็ยิ่งแปลกใจว่าทำไมแม่ของปื๊ดถึงไม่ว่าอะไร "ก็อย่างที่ผมบอกละครับ แม่ก็ดูๆอยู่ว่าจะเลือกใครดี"
"แปลก...แปลกจริงๆด้วย"

เฉลาซึ่งมีใจอยู่กับเหว่า และค่ำนี้เธอแอบตักแกงส้มมาให้เขาที่ข้างยุ้งข้าว เหว่าดีใจและซึ้งใจที่เฉลาดีต่อตนเหลือเกิน แต่ก็อดตัดพ้อน้อยใจวาสนาของตนเองไม่ได้ ที่เกิดมาเป็นได้แค่คนงาน มีความรักทั้งทีก็เหมือนหมาที่ได้แต่แหงน มองเครื่องบินบนฟ้า ไม่รู้ชาตินี้จะได้เด็ดดอกฟ้าหรือเปล่า
"สักวันถ้าพี่พยายามสร้างเนื้อ สร้างตัว แม่กับพี่ลีต้องเห็นใจเรา" เฉลาให้กำลังใจ เหว่าจึงบอกว่าตนจะอดทนแล้วก็รอวันนั้น พูดพลางก็จับมือเฉลาขึ้นมาจะจูบ แต่พอดีปื๊ดพามาลินีผ่านมาเพื่อจะขึ้นบ้าน เหว่าตกใจปล่อยมือเฉลาทันที และรีบหลบไปอีกทางตามที่เฉลาเร่ง
ปื๊ดสงสัยพี่เฉลามาทำอะไรมืดๆตรงนี้ เฉลาอ้างเอาตัวรอดว่าลงมาดูว่าปลวกขึ้นยุ้งข้าวหรือเปล่า แล้วเฉลาก็ยกมือไหว้มาลินีเมื่อปื๊ดแนะนำว่าเธอเป็นหลานของคุณนายวัน ขณะสองคนทักทายทำความรู้จักกัน ปื๊ดก็วิ่งแจ้นเป็นฆ้องปากแตกไปบอกทุกคนบนเรือนว่าหลานสาวคุณนายวันมาแล้ว ให้เตรียมจานชามสวยๆใส่อาหาร จะได้เชิดหน้าชูตาพ่อกับแม่
ลีนวัตรตกใจตาเหลือก ยิ่งรู้ว่ามาลินีมาอยู่ตีนบันไดแล้ว ลีนวัตรถึงกับอุทานว่า "ตายโหง"
"อะไรกันพี่ลี แค่แขกจะมากินข้าวด้วยแค่เนี้ยจะเป็นจะตายให้ได้" ฉลวยบ่น
"ผู้ใหญ่ลีไม่อยู่ เข้าใจไหมแม่ เข้าใจไหมหลวย เข้าใจไหมไอ้ปื้ด แล้วห้ามปากสว่างนะโว้ย"
ทุก คนงงเต้ก ลีนวัตรลนลานวิ่งหาที่ซ่อนตัว เสียงเฉลาเรียกแม่ และพามาลินีขึ้นบันไดมา ลีนวัตรยิ่งกว่าเห็นผี โกยแน่บเข้าห้องปิดประตูชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วก็แอบดูความเคลื่อนไหวผ่านรูข้างฝา
ได้เห็นมาลินีตัวเป็นๆใกล้ๆ น้องสาวทั้งสองของลีนวัตรชื่นชมความสวยของเธอกันใหญ่ และท่าทางทุกคนก็ชื่นชอบถูกชะตากับเธอมากด้วย ทำให้มาลินีรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่พอเธอถามหาผู้ใหญ่ลีที่เธออยากพบเหลือเกิน แม่ปุยกลับบอกว่าผู้ใหญ่ลีไปตรวจท้องที่ เฉลางงว่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อกี้ยังอยู่หน้าบ้าน แม่ปุยเลยบอกว่าเขาออกไปทางหลังบ้าน และคงจะกลับดึก แต่มาลินีก็ยืนยันว่ายังไงวันนี้เธอต้องเจอผู้ใหญ่ลีให้ได้ แม่ปุยจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ พยักพเยิดไปตามน้ำ
ระหว่างรอฉลวยกับเฉลาตั้ง สำรับ มาลินีวานปื๊ดพาเธอชมทั่วๆบ้าน เผื่อจะได้เห็นรูปถ่ายผู้ใหญ่ลีสักบาน ปื๊ดรับคำด้วยความเต็มใจ แต่ลีนวัตรที่แอบมองอยู่ในห้องสะดุ้งวาบ แล้วทำตัวเป็นนินจา หยิบรูปถ่ายรับปริญญาที่แขวนอยู่หน้าห้องเข้ามาเก็บโดยที่มาลินีไม่ทัน เห็น แต่ปื๊ดนั้นเห็นเต็มตา จึงบอกมาลินีว่าบางทีพ่อของตนก็เล่นกลหายตัวให้ตนดูด้วย
"เหรอจ๊ะ แหม พ่อเธอนี่เป็นผู้ชายที่อบอุ่นนะ ฉันยิ่งจินตนาการไม่ออกเลยว่าผู้ชายแก่ๆ เล่นกับเด็กจะดูน่ารักขนาดไหน"
"พ่อผมไม่ได้แก่อย่างที่คุณคิดหรอกครับ"
"แต่อย่างน้อยก็ต้องห้าสิบกว่าๆละ จริงไหม"
"บาง ทีเวลาพ่อเครียดๆ ก็เหมือนคนแก่เหมือนกันครับคุณ อย่างตอนเนี้ย" ปื๊ดพูดยิ้มๆ มาลินีไม่ได้สงสัยอะไร ซักถามปื๊ดว่านอนห้องไหน ปื๊ดบอกไม่แน่ บางทีร้อนๆก็กางมุ้งนอนนอกชาน ตรงนี้ก็นอนบ่อยๆ แต่ถ้าพ่อเล่าเรื่องผีตนก็จะไปนอนกับพ่อในห้อง "คุณอยากดูไหมล่ะครับว่าผมนอนยังไง"
"จะดีเหรอจ๊ะ มันห้องส่วนตัวของพ่อเธอ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ พ่อไม่อยู่อยู่แล้ว แม่ก็ไม่ว่าหรอก"
ปื๊ดยินดีนำเสนอ ความจริงนึกสนุกอยากแกล้งพ่อผู้ใหญ่ลีของตนมากกว่า แต่ลีนวัตรที่อยู่ในห้องนั้นลนลานพล่านไปหมด จะเอาตัวรอดยังไงดี
เมื่อประตูห้องเปิดออก ปื๊ดยิ้มแฉ่งเดินนำมาลินีเข้ามา
"แหม...เหมือนห้องคนโสดเลยนะจ๊ะ แต่ฉันว่าออกไปกันเถอะ เดี๋ยวแม่เธอว่าเอา"
"แม่ไม่ว่าหรอกครับ แม่ไม่ได้นอนห้องนี้ซะหน่อย"
"อ้าว...พ่อกับแม่เธอไม่ได้นอนห้องเดียวกันหรอกเหรอจ๊ะ"
ปื๊ดนั่งทับลงไปบนม้วนเสื่ออย่างแรง ลีนวัตรซ่อนตัวอยู่ข้างในแทบจุก
"เปล่าครับ แม่นอนห้องโน้นกับพี่หลวย"
"บ้านเธอนี่ก็มีอะไรแปลกๆเหมือนกันนะ"
ปื๊ดถามว่าแปลกยังไง มาลินีรีบบอกปัดว่าไม่มีอะไร อย่าไปสนใจเลย
"คุณ มานั่งตรงนี้ด้วยกันสิครับ" ปื๊ดไม่พูดเปล่า ดึงมาลินีลงมานั่งทับบนม้วนเสื่ออีกคน ถึงแม้จะมีหมอนและผ้าห่มรองอีกชั้นแต่ลีนวัตรก็จุกลิ้นห้อย แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียง
เสียงแม่ปุยร้องเรียกปื๊ดให้พามาลินีออกมากินข้าว ได้แล้ว เหมือนระฆังช่วยชีวิตลีนวัตรแท้ๆ สองคนลุกเดินออกไป ส่วนลีนวัตรตัดสินใจปีนหน้าต่างลงไปข้างล่าง หลบเข้าใต้ถุนฟังเสียงทุกคนสนทนากันไปกินข้าวกันไป

ขณะที่ลีนวัตรซุกตัว อยู่มุมนึงในความมืดใต้ถุนบ้าน มองค้อนขึ้นไปบนเรือน พลางก็ตบยุง เหว่าถือถ้วยแกงมาจากทางหนึ่ง จะแอบเอามาวางคืนให้เฉลา ลีนวัตรเห็นเข้า ถามเหว่าเบาๆว่าทำอะไร เหว่าสะดุ้งสุดตัว แล้วแต่งเรื่องว่า
"ถ้วย แกงจ้ะ สงสัยว่าปื๊ดมันจะตักข้าวเดินร่อนกินไปทั่ว ฉันไปเจอถ้วยใบนี้แถวยุ้งก็เลยเก็บมาให้จ้ะ แล้วผู้ใหญ่มานั่งตากยุงอยู่แถวนี้ทำไม"
"แม่แกมีแขก เลยขี้เกียจอยู่ข้างบนว่ะ"
"อ้าว...แขกป้าปุยไม่ใช่แขกผู้ใหญ่เรอะ"
"มันก็ใช่...แต่ฉันไม่อยากเจอหน้าตอนนี้นี่หว่า"
"นึกออกแล้ว ต้องเป็นหลานสาวคุณนายวันแหงๆเลย ผู้หญิงขาวๆสวยๆ ผู้ใหญ่นี่แปลก ทำไมไม่อยากเจอหน้า เป็นฉันละก็..."
"เฮ่ย น้อยๆหน่อย...หลานสาวคุณนายวันนะโว้ย"
"เห็นว่าเป็นดารานางแบบอะไรด้วยไม่ใช่เหรอผู้ใหญ่"
"ผู้หญิงสวยๆน่ะ เป็นอันตรายอย่างที่สุดของผู้ชาย เอ็งจำไว้ให้ดีเลยไอ้เหว่า อยู่ให้ห่างๆ ไว้เป็นดี"
เห ว่านิ่วหน้าไม่เข้าใจนัก ส่วนบนบ้าน ฉลวยจะเติมข้าวให้มาลินีอีก มาลินีรีบปฏิเสธเพราะกินไปสองจานแล้ว แม่ปุยบ่นเสียดายที่มาลินีไม่ได้กินพุงปลาช่อน ไม่รู้ใครมือดีมาตักไปเสียก่อน เฉลาหลบตากลัวความแตก เพราะเธอแอบตักไปให้เหว่านั่นเอง พอปื๊ดบอกว่าสงสัยพ่อเอาไปกิน เฉลาได้ทีผสมโรงไปกับปื๊ดว่าเห็นแกป้วนเปี้ยนอยู่แถวครัวเหมือนกัน
"ตกลงผู้ใหญ่ลีแกจะกลับดึกรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ" มาลินีเปรยขึ้นมา
"เอา แน่อะไรกะเขาไม่ได้หรอกค่ะคุณ บางทีกลับมาเช้าเลยก็ยังเคย บางทีนึกจะโผล่ก็โผล่" แม่ปุยพูดขาดคำก็มีเสียงเรียกดังสวนขึ้นมาจากหน้าบ้าน
"แม่ปุย...แม่ปุย"
มาลินี หูผึ่งหันขวับเพราะความรู้สึกแรกมั่นใจซะยิ่งกว่าอะไรว่าต้องเป็นผู้ใหญ่ลี แน่ๆ พอเขาคนนั้นก้าวขึ้นบันไดมา มาลินีก็ลุกพรวดเดินไปพนมมือไหว้อ่อนช้อย "สวัสดีค่ะผู้ใหญ่ลี"
ทองใบตกใจรับไหว้อัตโนมัติ ขณะที่พวกแม่ปุยอ้าปากค้างตัวแข็ง
"ขอบ พระคุณมากนะคะที่ช่วยจัดแจงเรื่องงานศพคุณยาย แถมยังดูแลบ้านช่องให้ด้วย ถ้าไม่ได้ผู้ใหญ่ลีหนูคงลำบากจัดแจงอะไรไม่ถูกแน่ๆเลยค่ะ"
"คุณครับ...คือ..." ปื๊ดเอ้ออ้าไม่ทันมาลินี
"ปื๊ดเป็นเด็กน่ารักมากเลยค่ะ มีน้ำใจช่วยหนูหลายอย่าง ผู้ใหญ่ลีทานข้าวก่อนก็ได้ค่ะ ป่านนี้คงจะหิวน่าดู"
"กินมารึยังล่ะทองใบ"
"กินมาแล้วล่ะแม่ปุย จะมาคุยกับผู้ใหญ่เขาเรื่องโรงเรียนสอนควายไถนาน่ะแหละ จะเอายังไง"
"ผู้ใหญ่ลียังไม่กลับมาเลย จะคอยไหมล่ะ"
"อ้าว..." มาลินีร้องขึ้น แม่ปุยหันมายิ้มให้มาลินีอย่างเกรงใจ แล้วแนะนำว่านี่นายทองใบ บ้านอยู่ถัดไปนี่เอง "ตกลง...ไม่ใช่ผู้ใหญ่ลีเหรอคะ"
"ผู้ใหญ่ลีแกหล่อกว่าผมเยอะครับ" ทองใบพูดกลั้วหัวเราะ
"อีกแล้วเหรอ" มาลินีครางเบาๆ ไม่กล้าสบตาใคร หน้าแตกยับเยินอีกแล้ว...
ครั้น ปื๊ดพามาลินีกลับมาส่งที่บ้านคุณนายวัน ปื๊ดสังเกตเห็นมาลินีเงียบมาตลอดทาง นึกว่าเธอง่วงนอน แต่เธอกลับบอกว่ากำลังใช้ความคิดต่างหาก
"ใช้ความคิด...เรื่องผมรึเปล่าครับ"
"บอกตามตรงนะ ฉันอดคิดไม่ได้หรอกว่าผู้ใหญ่ลีพ่อของเธอน่ะ กำลังพยายามหลบหน้าหลบตาฉันอยู่"
"ทำไมคุณคิดยังงั้นล่ะครับ"
"ก็นี่มันหลายหนแล้วนะ ที่ฉันต้องทักคนผิด หน้าแตกไม่มีชิ้นดี"
"จริงๆแล้วพ่อผมแกคงไม่ได้อยากจะหลบหน้าคุณหรอกมังครับ"
"อืม... ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ฉันฝากปื๊ดไปบอกเขาด้วยก็แล้วกัน ให้เขาสละเวลามาคุยกันหน่อย เรื่องที่ดินจะซื้อจะขายกันยังไง มันจะได้จบๆซะที"
"ตกลงคุณจะขายที่ให้พ่อผมจริงๆ เหรอครับ คุณจะไม่มาอยู่ที่นี่เหรอครับ"
"ฉัน จะมาอยู่ได้ยังไงปื๊ด ฉันเป็นคนกรุงเทพฯ ฉันเกิดแล้วก็โตในกรุงเทพฯ ให้ฉันมาอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้ ฉันอยู่ไม่ได้หรอกจ้ะ"
ปื๊ดใจ แป้ว เสียดายอย่างบอกไม่ถูก...ปื๊ดเดินคอตกกลับไปเจอลีนวัตรยืนคอยอยู่ข้างทาง ลีนวัตรแกล้งโยนไม้ไปข้างหน้าปื๊ดกะให้ตกใจเล่น แต่ปื๊ดเฉย งอนใส่ด้วยซ้ำ ทำให้ ลีนวัตรงุนงงว่าไอ้ลูกชายตัวดีเป็นอะไรไป
ปื๊ดหา ว่าพ่อชอบแกล้งมาลินี ทำให้เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ ลีนวัตรอธิบายว่ามันไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก เขามันคนกรุง จะมาอยู่ได้ยังไงที่นี่ กรุงเทพฯมันเป็นสวรรค์ของคนกรุงต่อให้ เอ็งพูดจนคอแตกเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจหรอก
"งั้นหนูจะทำให้คุณแกเปลี่ยนใจเอง หนูจะทำให้แกอยากอยู่ที่นี่ให้ได้เลย"
"เอ็งจะทำยังไงของเอ็ง"
"หนูมีวิธีของหนูก็แล้วกัน" ปื๊ดหน้าตูม เดินลิ่วๆ ออกไป...
มาลินี เข้ามุ้งล้มตัวลงนอน พลันก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังแว่วหวาน จนเธอต้องลุกเดินไปที่หน้าต่างเหมือนอยากจะได้ยินให้ชัดกว่านี้...จากนอก หน้าต่าง ลมโชยอ่อนๆ มาลินีรู้สึกสบายใจ รอยยิ้มเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ครู่หนึ่งก็เดินกลับมามุดมุ้งเข้านอน
"จบ ไปอีกวัน...พรุ่งนี้ฉันจะต้องเจอผู้ใหญ่ลีให้ได้เลย คนอะไรหาตัวได้ยากเย็น คงจะนึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญนักหนาละมั้ง" พูดงึมงำพึมพำกับตัวเองแล้วมาลินีหลับตาลง ฟังเพลงต่อ "ขอบใจนะจ๊ะคนเป่าขลุ่ย ทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นมาเยอะเลย อย่าเพิ่งหยุดเป่านะ ให้ฉันหลับก่อน..."


ขณะ เดินลากกระเป๋าทุลักทุเลไปตามคันนาเวิ้งว้าง มีแต่ทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา มาลินียังไม่หายเจ็บใจ เดินไปด่าไป "คนเลว บ้า ป่าเถื่อน ที่นี่มันนรกชัดๆ"

เจ้ากรรม! ส้นสูงดันจมดินจนมิด เธอพยายามถอนเท้าขึ้น ทำเอาหัวเกือบทิ่มตะครุบกบ หันมองซ้ายขวากลัวใครจะเห็น

"ทุเรศที่สุดเลย มีใครเห็นบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้...โอ๊ย ซุปเปอร์ โมเดลอย่างฉัน ทำไมต้องมาทำอะไรทุเรศๆอย่างนี้ด้วย"

ที่ สุดเธอก็ตัดสินใจเดินเท้าเปล่า มือหนึ่งหิ้วรองเท้าเปื้อนโคลน อีกมือลากกระเป๋าเดินทาง...นานเข้าชักร้อน งัดเอาร่มสีแดงแจ๋ออกมากาง

ข้างฝ่ายลีนวัตร พอกลับถึงบ้านก็บอกแม่ปุยว่าหลานคุณนายวันมาแล้ว เจอกันที่ตลาด เธอขออาศัยเรือมาด้วย

"ไหนล่ะ แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ" แม่ปุยชะเง้อมองหา

"ป่านนี้คงกำลังชื่นชมธรรมชาติบรรยากาศชนบทอยู่น่ะแม่"

มาลินี กำลังอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ แต่เธอไม่ได้ เป็นปลื้มเอาเสียเลย เดินขาลากไปถึงทางแยกแล้วไม่รู้จะตัดสินใจไปซ้ายหรือขวาดี ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งร้องขึ้นมา กวาดตามองรอบตัวแล้วสะดุ้งกับภาพควายตัวหนึ่งนอนอยู่กลางปลักโคลน

ด้วย ความที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับสัตว์นอกโลกในระยะใกล้ขนาดนี้ มาลินีหวาดกลัวรีบถอยห่าง แต่ควายดันปรี่เข้าหาแล้ววิ่งตามไม่ลดละ เมื่อเธอเร่งฝีเท้าหนีไปตามคันนา

มาลินีวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องกรี๊ดไม่หยุด ทันใดปื๊ดโผล่พรวดมาสกัดควายตัวนั้น และร้องบอกให้เธอทิ้งกระเป๋ากับร่ม มาลินีโยนทั้งสองอย่างนั้นไปทันที ควายจึงเลิกสนใจเธอ หันไปจ้องกระเป๋ากับร่มสีแดงแทน

ปื๊ดวิ่งเข้ามาหามาลินีที่ยังยืนหอบตัวแข็งเหมือนเพิ่งผ่านนาทีเฉียดตายมา

"เฉาก๊วยมันเกลียดสีสดๆน่ะคุณ ไม่มีอะไรหรอก" ปื๊ดบอก


"เฉาก๊วยมันใจดีออกคุณ แสนรู้ด้วย เฉาก๊วยมานี่มา"

เฉาก๊วยเดินเข้ามาหาปื๊ดอย่างว่าง่าย แต่มาลินีตกใจร้องกรี๊ด ลนลานถอยหนีจนเสียหลักหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงไปในท้องนาน้ำแฉะ...

กว่า จะทำความรู้จักกันเรียบร้อยก็เล่นเอาเสียเวลาไปไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นมาลินีก็ยังไม่ไว้ใจควายอยู่ดี เดินตามหลังทิ้งระยะพอสมควร โดยปื๊ดนั่งบนหลังควายสบายใจเฉิบ สองมือประคองกระเป๋าเดินทางของมาลินี

"ขึ้นมานั่งด้วยกันเถอะครับคุณ เดินเมื่อยเปล่าๆ"

"ตามสบายเถอะ ฉันว่าฉันยอมเมื่อยหน่อยดีกว่า สบายใจกว่ากันเยอะ"

"แล้วทำไมคุณมาทางนี่ล่ะครับ ถนนก็มีถึงบ้านคุณนายวันเลย มาทางนี้มันอ้อม"

" ก็คนเรือน่ะสิ ส่งฉันให้ขึ้นทางโน้น บอกให้เดินเอาอีกหน่อย เขาแกล้งให้ฉันต้องพายเรือด้วย...คนแถวนี้นิสัยแย่มากๆ เอ่อ ยกเว้นเธอนะจ๊ะ เพราะเธอมีน้ำใจมาช่วยฉัน"

"คุณจำหน้าเขาได้ไหมครับ"

"จำได้สิ จำได้แม่นเลยล่ะ คอยดูนะ ถ้าเจออีกทีฉันจะเอาคืนให้สาสมเชียว"

ปื๊ด หัวเราะก๊าก แล้วแหกปากร้องเพลงลั่นทุ่ง...ครั้นนำทางคุณคนสวยไปถึงบ้านคุณนายวัน ปื๊ดก็จัดแจงให้เธอล้างเสื้อผ้าเนื้อตัวที่เลอะเทอะด้วยน้ำสะอาด เสร็จแล้วปื๊ดถอดเสื้อตัวเองออกยื่นให้เธอเช็ดมือ มาลินีทึ่ง ชื่นชมปื๊ดเป็นสุภาพบุรุษมากๆ อยากรู้ว่าใครสอนให้ทำอย่างนี้

"พ่อครับ" ปื๊ดตอบด้วยความภาคภูมิใจ

"เหรอ...ขอบใจนะจ๊ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก เสื้อเธอจะเปียกเปล่าๆ ทำไมบ้านถึงเงียบยังงี้ล่ะ"

"ก็เงียบยังงี้ล่ะครับ ตอนคุณนายวันอยู่ก็เป็นยังงี้แหละ"

"ฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย"

"ปื๊ดครับ...ผมชื่อปื๊ด พ่อตั้งให้ครับ"

"บ้านเธออยู่แถวนี้เหรอจ๊ะ"

"ครับ ผมเป็นลูกชายผู้ใหญ่ลี"

" อ้อ...ผู้ใหญ่ลี คนที่เขียนจดหมายถึงฉัน ฉันยังไม่ได้ขอบใจเธอเลยที่ช่วยชีวิตฉันเมื่อกี้ ถ้าเธอไม่บังเอิญผ่านมา ฉันคงแย่ ขอบใจนะปื๊ด"

"ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ แต่ผมไม่ได้บังเอิญผ่านมาหรอกครับ ผมตั้งใจมา เพราะพ่อบอกให้ผมมาดูแลคุณ"

"อืม...พ่อเธอนี่เป็นผู้ใหญ่บ้านที่มีน้ำใจนะ คอยดูแลทุกข์สุขลูกบ้านจริงๆ"

" ครับ พ่อผมเก่งยังงี้เลยครับ" ปื๊ดยกสองนิ้วโป้งโชว์ มาลินียิ้มขำ แต่แล้วเอะใจว่าพ่อของปื๊ดรู้ได้ยังไงว่าเธอมา ปื๊ดสะดุ้งเฮือก รีบตัดบท เชิญคุณขึ้นเรือนดีกว่า กินน้ำกินท่าซะจะได้สดชื่น

"ก็กุญแจคล้องอยู่ นั่น แล้วจะให้เข้าไปยังไง" มาลินีชี้มือไปที่ประตู ปื๊ดจึงหยิบกุญแจจากกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมา บอกว่าพ่อให้มา "หมายความว่าพ่อเธอเป็นคนถือกุญแจบ้านไว้" เด็กชายพยักหน้ารับ "รู้สึกว่าผู้ใหญ่ลีพ่อเธอนี่จัดการทุกอย่างเอาไว้หมดเลยนะ"

เด็ก ชายปื๊ดยิ้มหน้าบานแล้วทำตัวแมนมาก ยกกระเป๋าเดินทางของเธอนำหน้าขึ้นบ้าน...มาลินีเดินตามขึ้นมามองบ้านที่ สะอาดกิ๊ก พื้นไม้เป็นเงาไร้ฝุ่นละออง ปื๊ดวางกระเป๋าแล้วไปตักน้ำในโอ่งใส่ขันมาส่งให้เธอดื่ม บอกว่าเป็นน้ำฝนเย็นๆ กินแล้วชื่นใจ

"น้ำฝน...กินได้เหรอจ๊ะ"

"ได้สิครับ ที่นี่เขาก็รองน้ำฝนกินกันทุกบ้าน แล้วคุณอยู่กรุงเทพฯกินน้ำอะไรล่ะครับ"

"ก็ซื้อน้ำเป็นขวดๆที่เขาทำขายน่ะสิจ๊ะ"

"คนกรุงเทพฯ นี่น่าสงสารจัง ขนาดน้ำยังต้องซื้อเอาเลย"

มาลินียิ้มแหย ก่อนดื่มน้ำฝนจากขัน "อืม...ชื่นใจจริงๆด้วย บ้านสะอาดดีนี่ ยังกับเพิ่งทำความสะอาด"

"แม่ให้ผมกับพี่เหลาพี่หลวยมากวาดถูทุกๆวันแหละครับ"
"บ้านเธอนี่มีน้ำใจกับคุณยายฉันจังเลยนะ"
" ก็คุณนายวันมีพระคุณกับพวกเรานี่ครับ...พ่อบอก" พูดแล้วเด็กชายปื๊ดเดินไปปฏิบัติภารกิจสุดท้ายที่ได้รับมอบหมายจากพ่อ... เปิดตู้หยิบจดหมายของคุณนายวันมาส่งให้มาลินี แล้วขอตัวกลับทันที
ครั้นกลับ มาถึงบ้าน ปื๊ดก็ออกท่าออกทางเกินจริงขณะเล่าเรื่องที่มาลินีเกือบถูกควายขวิดให้ลี นวัตรกับแม่ปุยฟัง ลีนวัตรขำถึงกับหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนถูกแม่ปุยเอ็ด จากนั้นแม่ปุยก็ซักถามปื๊ดว่าหลานคุณนายวันเป็นยังไงบ้าง ปื๊ดชื่นชมมาลินีด้วยท่าทีกรุ้มกริ่มว่าตัวจริงสวยกว่าในทีวี แบบนี้ สเปกหนูเลย ลีนวัตรจึงปรามปื๊ดว่าอย่าทะลึ่ง ปื๊ดกลับย้ำว่าหนูชอบของหนูนี่ พ่อไม่ชอบก็เรื่องของพ่อ...
"ไอ้ปื๊ด ผู้หญิงแบบนี้น่ะนะ...อันตราย"
"ทำไมล่ะพ่อ"
"เขาเรียกสวยแต่รูปจูบไม่หอม"
" หา!...พ่อได้จูบคุณแกแล้วด้วยเหรอ" ปื๊ดร้องลั่น ลีนวัตรเองก็สะดุ้ง รีบอธิบายว่ามันเป็นคำพังเพย ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ "แหม หนูล่ะใจหายแว้บเลย"
"พอกันเลยทั้งพ่อทั้งลูก" แม่ปุยทำหน้าระอา แล้วนึกได้ ถามปื๊ดว่าเอาจดหมายคุณนายวันให้มาลินีหรือยัง?
ขณะเดียวกันนั้น มาลินีกำลังนั่งอ่านจดหมายเขียนด้วยลายมือคุณยายอยู่ที่เฉลียงบ้าน
" แม่มาหลานยาย...แม่มาคงจะได้รับจดหมายนี่ต่อเมื่อยายตายเสียแล้ว ยายได้เขียนฝากผู้ใหญ่ลีไว้ ถ้ายายตายเขาจะส่งให้หลานเอง ยายเชื่อใจเขามาก จึงหลับตาตายโดยไม่ห่วงอะไรเลย ถึงอย่างไรผู้ใหญ่ลีจะต้องทำตามทุกอย่างตามความประสงค์ของยาย แม่มา...ไร่นาและบ้านของยายคงไม่มีใครแย่งหลานไปได้ ยายต้องการให้แม่มามาอยู่ มาทำแทนยาย แต่ชีวิตสวยหรูในกรุงเทพฯคงจะทำให้หลานรังเกียจที่นาของยาย ถ้าหลานไม่ต้องการมัน ให้ขายให้ผู้ใหญ่ลีเสีย ยายห้ามเด็ดขาดไม่ให้หลานให้คนอื่นเช่าทำ คนอื่นที่เขาไม่ใช่เจ้าของมาทำลายนาของยายเข็ดแล้ว ก่อนตัดสินใจขายขอให้แม่มาได้ดูบ้านและที่นาของแม่มาให้ดีเสียก่อน มันดีกว่าเมื่อครั้งแม่มาเคยมากับแม่เขาเมื่อเด็กๆมาก...ยายตายอย่างมีความ สุข แม่มาไม่ต้องมาร้องไห้ให้ยาย ยายอยากให้แม่มาอยู่ ที่นี่และมีความสุขอย่างยายบ้าง แต่ก็นั่นแหละ ยายไม่อยากหวังอะไรมากนัก แต่ละคนมีกรรมเป็นของตน ตามใจแม่มานะ จะอยู่เองหรือว่าจะขาย...จากยายของแม่มา"
มาลินีจบจดหมายด้วยน้ำตาซึมๆ เสียใจ เพราะตลอดชีวิตไม่ค่อยได้ผูกพันกับยายนัก แต่สิ่งสุดท้ายยายยังอุตส่าห์ คิดถึงเธอ ทั้งที่เธอไม่ได้มาดูแลและดูใจยายก่อนตาย...
ส่วนที่บ้านลีนวัตร แม่ปุยยังห่วงมาลินี อยากให้ลูกชาย ไปดูเธอสักหน่อย อะไรอยู่ตรงไหนจะได้หาเจอ แต่ลีนวัตรยังไม่กล้าแหยมเพราะแกล้งเธอไว้มาก กลัวโผล่ไปจะหัวแตกซะเปล่าๆ จึงบ่ายเบี่ยงอ้างเหตุผลกับแม่ว่า เธอเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ คงอยากจะพักผ่อนมากกว่า
เมื่อพ่อไม่ไป ปื๊ดเลยได้โอกาสขันอาสาแม่ปุย หนูจะไปดูคุณคนสวยให้เอง รับรองไม่ไปกวนให้เธอรำคาญ เพราะท่าทางเธอก็ชอบหนูอยู่เหมือนกัน ลีนวัตรฟังคำลูกชายตัวแสบแล้วเกิดหมั่นไส้ อยากจะอัดสักป้าบ แต่ไม่ทันเพราะปื๊ดวิ่งอ้าวออกไปแล้ว เขาได้แต่ตะโกนกำชับว่า
"ไอ้ปื๊ด อย่าปากสว่างนักนะโว้ย"
ooooooo
มาลินี กำลังคุยโทรศัพท์กับสมรอยู่นอกชาน เธอบ่นหลายสิ่งหลายอย่างถึงความไม่ศิวิไลซ์ของคลองหมาหอนให้สมรฟัง และกะว่าเสร็จงานศพคุณยายก็จะกลับกรุงเทพฯทันทีเลย...คุยไปคุยมาเธอเพิ่งรู้ ตัวว่าแบตฯโทรศัพท์หมด และเธอก็ลืมเอาที่ชาร์จติดมาด้วย ระหว่างนี้เองเห็นปื๊ดก้าวขึ้นมาบนบ้าน เธอจึงขอความช่วยเหลือจากปื๊ดให้หาที่ชาร์จแบตฯโทรศัพท์
แต่คราวนี้ ปื๊ดจนปัญญาช่วยเธอไม่ได้จริงๆ และแถวนี้ ก็ไม่มีโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งพ่อของปื๊ดเคยไปขอแล้ว แต่ทางองค์การฯบอกว่าเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ
"ก็คงจะจริงของเขาละมัง"
"ถ้าคุณอยากโทร.จริงๆ ผมพาคุณไปโทร.ในตลาดก็ได้ครับ"
"ต้องนั่งเรือกลับไปอีกน่ะเหรอ ไม่ไหวละมังจ๊ะ ฉันอยากไปกราบศพยายฉันมากกว่า"
"ดีสิครับ ผมพาคุณไปเอง"
"งั้นรอเดี๋ยวนะ ขอฉันทำธุระส่วนตัวแป๊บนึง"
"เยี่ยวหรือขี้ครับ"
มาลินีสะดุ้งเฮือก "ไม่ใช่จ้ะ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ฉันแค่จะเติมแป้ง ทาปาก แล้วก็ปัดขนตานิดหน่อย"
"แค่นี้ก็สวยแล้ว ทำไมต้องเติมอีกล่ะครับ"
"ปื๊ดไม่เข้าใจหรอก ปื๊ดเป็นเด็กผู้ชาย เรื่องแบบนี้มันเป็นความมั่นใจของผู้หญิงเขาน่ะจ้ะ"
ปื๊ด ได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจจริงๆอย่างที่มาลินีพูด...จากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ออกจากบ้านเดินผ่านทุ่งนาระหว่างทางไปวัด ลีนวัตรกำลังปักหุ่นไล่กาอยู่ใกล้ทางเดิน ปื๊ดตาไวเห็นก่อนตะโกนเรียกพ่อดังลั่น ลีนวัตรตกใจรีบพาตัวเองเข้าหลบหลังหุ่นไล่กา กางแขนประกบในท่าเดียวกันด้วย
"ไหนจ๊ะพ่อเธอ ผู้ใหญ่ลีน่ะเหรอ...ไม่เห็นมี" มาลินีชะเง้อมองหา ลีนวัตรรีบยื่นมะเหงกให้ปื๊ด แถมโบกมือไล่ ปื๊ดเลยบอกมาลินีว่า ตนเรียกพ่อหุ่นไล่กาต่างหาก "ทำไมต้องเรียกด้วยล่ะจ๊ะ"
"ก็หุ่นไล่กายืนกางแขนกางขาทำงานไล่นกไล่กาแทนเรา ก็เหมือนเพื่อนเราไงครับ เจอกันก็ต้องทักทายกัน"
" เหรอ...มีธรรมเนียมอย่างนี้ด้วยเหรอ" มาลินีทำหน้างงๆ ลีนวัตรแอบยกนิ้วโป้งชมปื๊ดที่หัวไว แต่พอได้ยินมาลินีเอ่ยกับปื๊ดต่อไปว่า ถ้าคนแถวนี้รู้จักกันหมดก็ดี เธอจะได้ชี้ตัวไอ้คนขับเรือที่มันแกล้งเธอให้ผู้ใหญ่ลีจัดการให้เข็ดหลาบ เพราะมันต้องเป็นโรคจิตแหงๆ ถึงชอบแกล้งผู้หญิง...ลีนวัตรฟังแล้วสะดุ้ง ทำหน้าปุเลี่ยนๆ ขณะที่ปื๊ดเออออกับมาลินี พลางก็หัวเราะขำขัน จนลีนวัตรแอบจ้องปื๊ดตาเขียว
เมื่อพากันไปถึงศาลาสวดศพ มาลินีหน้าเศร้ากราบศพคุณยาย แล้วทำท่าจะร้องไห้ แต่ก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้ เพราะปื๊ดบอกว่าพ่อของตนสั่งห้ามไม่ให้ร้องไห้
"รู้สึกว่าอะไรๆก็พ่อเธอ ทั้งนั้นเลยนะ" มาลินีแดกดัน แต่ปื๊ดพาซื่อรับคำทันใด ซ้ำยังคุยอวดว่าดอกไม้พวกนี้พ่อของตนก็เป็นคนจัด "จัดการตั้งแต่ดอกไม้หน้าศพยันชีวิตฉันทีเดียว"
ลีนวัตรที่ตามมาแอบอยู่ใกล้ๆ หูผึ่งพยายามฟัง...
" ฉันไม่ได้มีอคติอะไรกับพ่อเธอหรอกนะปื๊ด แต่เธอคงไม่รู้หรอกว่ายายฉันท่านสั่งเอาไว้ว่า ถ้าฉันจะขายบ้านขายนา ให้ขายให้พ่อเธอคนเดียว ฉันอดคิดไม่ได้หรอกนะปื๊ดว่ายายฉันอาจจะถูกบังคับ"
"ไม่มีใครบังคับคุณนายวันหรอกครับ เพราะแกสั่งเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ ใครๆก็รู้"
"เธอก็รู้งั้นเหรอ"
"ครับ"
"ฉันอยากรู้นักว่าพ่อเธอมีอะไรดี ยายฉันถึงได้ไว้ใจนัก"
ลี นวัตรขยับถอยหลังจะหนีเพราะรู้สึกว่ามาลินีเริ่มมีอารมณ์ แต่เท้าของเขาดันสะดุดเอากองกระโถนที่คว่ำไว้หลังทำความสะอาดล้มกระจายเสียง ดัง
"เสียงอะไรน่ะ ใคร?" มาลินีเหลียวมอง...ลีนวัตรที่ซ่อนตัวทันรีบส่งเสียงร้องเหมือนแมวทันที จากนั้นก็คลานลงจากศาลาไปอย่างรวดเร็ว แล้วไปเจอหลวงพ่อตรงหน้าโบสถ์ หลวงพ่อจึงถามเรื่องศพโยมวันจะเอายังไง ลีนวัตรจึงรบกวนหลวงพ่อไปสอบถามเอากับหลานสาวคุณนายวันเอง
เมื่อหลวงพ่อขึ้นมาบนศาลาก็พบมาลินีกับปื๊ด...ทั้งคู่ ก้มกราบหลวงพ่อทันที
"เจริญพรโยม ผู้ใหญ่ลีเขาบอกเหมือนกันว่าหลานคุณโยมวันมาแล้ว กะจะเผาวันไหนดีล่ะโยม"
" ความจริง...อาตมา...เอ๊ย...หนู...เอ๊ย...ดิฉันก็มีงานยุ่งมากที่กรุงเทพฯไม่ ค่อยจะมีเวลานัก ถ้าเป็นไปได้เผาพรุ่งนี้เลยได้ไหมค่ะโยม...เอ๊ย...หลวงพ่อ" มาลินีพูดผิดพูดถูกจนหลวงพ่อทำหน้าไม่ถูก
"พรุ่งนี้เลยเหรอ จะฉุกละหุกเตรียมอะไรกันไม่ทันน่ะสิ คนรักเคารพนับถือคุณโยมวันเขามีมากนะ กว่าจะส่งข่าวกันให้รู้ทั่วก็หลายวัน ถ้าเขาไม่ได้มางานเผาจะพากันน้อยใจเปล่าๆ"
"งั้นถ้าถัดไปอีกวันล่ะคะ"
"วันสำคัญวันดีเขาไม่เผาผีกันน่ะสิโยม"
"แล้วจะทำยังไงล่ะคะ"
"แหม...ผู้ใหญ่ลีก็เพิ่งคล้อยหลังกันเมื่อกี้ รู้ยังงี้เรียกมาคุยกันให้รู้เรื่องก็ดี นี่ได้เจอกันหรือยังล่ะคุณโยม"
"ยังค่ะ ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย ดิฉันก็อยากจะพบผู้ใหญ่ลีอยู่เหมือนกัน เพราะมีหลายเรื่องต้องคุยกันค่ะ"
ปื๊ดฟังคำของมาลินีแล้วนึกสยองแทนพ่อผู้ใหญ่ลีของตนเสียจริง
ooooooo

ออก จากวัดกลับมาถึงบ้าน มาลินีบ่นหิว ถามปื๊ดว่าแถวนี้มีอะไรให้ซื้อได้บ้าง ปื๊ดบอกมีก๋วยเตี๋ยวเรือ แต่เย็นป่านนี้เรือคงไม่มาแล้ว มาลินีนึกได้ บอกปื๊ดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอจะโทร.สั่งพิซซ่า
"พิซซ่า?...ผมว่าคุณหุงข้าวกินเอาเถอะครับ ไข่ไก่ก็มี ของแห้งปลากระป๋องในตู้ก็พอมี คุณนายวันตุนเอาไว้เยอะ"
มาลินี ตกลงตามนั้น แต่ก็มาติดปัญหาอีกจนได้ว่าที่นี่ ไม่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ต้องจุดเตาถ่านหุงข้าว ซึ่งเธอทำไม่เป็น และไม่รู้ด้วยว่าเขาทำกันยังไง...พอปื๊ดกลับไปบ้านไปเล่าให้ ทุกคนฟัง ลีนวัตรหัวเราะก๊ากที่มาลินีทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แถมยังคิดจะโทร.สั่งพิซซ่า

ที่สุดปื๊ดก็ต้องย้อนกลับไปหามาลินีอีกครั้งพร้อมด้วยปิ่นโตอาหารพื้นบ้านฝีมือแม่ปุย มาลินีกำลังหิวโซโซ้ยเอาๆ จนปื๊ดจ้องตาเป๋ง
"อร่อยไหมครับ"
"อร่อยมากจ้ะ แม่เธอทำกับข้าวอร่อยมาก ฉันไม่ได้กินอะไรอร่อยๆอย่างนี้มานานแล้ว"
"ทำไมล่ะครับ ในกรุงเทพฯน่าจะมีแต่ของดีๆ ของอร่อยๆให้คุณกินทุกวัน"
" ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าอาหารค่ำมื้อนี้ของฉันเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อนึง อาจจะเป็นเพราะว่ามีเธอกินเป็นเพื่อนฉันมั้ง ดูสิฉันกินเยอะจนลืมไปเลยว่าต้องคุมน้ำหนัก"
"คุณกลัวอ้วนเหรอครับ"
"ก็ฉันเป็นนางแบบนี่จ๊ะ ถ้าฉันอ้วนเป็นหมูแล้วใครเขาจะจ้างฉันล่ะ"
"น่าสงสารจัง คุณคงอดๆอยากๆ ถึงได้ว่ามื้อนี้อร่อย มันของพื้นๆทั้งนั้น"
หลัง จากอิ่มหนำสำราญแล้ว มาลินีตามลงมาส่งปื๊ดที่หิ้วปิ่นโตติดมือมาด้วย ลีนวัตรประแป้งหน้าขาววอกชะเง้อมองอยู่มุมหนึ่ง รีบเอาตัวเองหลบเข้าหลังพุ่มไม้ทันที
"ฝากขอบพระคุณแม่กับพ่อเธอด้วยจ้ะปื๊ด อย่าลืมบอกท่านว่าอาหารอร่อยมากถึงมากที่สุด"
"ครับ"
"พรุ่งนี้ฉันจะไปกราบสวัสดีท่านนะจ๊ะ"
"ครับ คุณกลับขึ้นเรือนไปเถอะครับ แล้วก็ปิดประตูหน้าต่างซะ ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆก็ไม่ต้องออกมาดูนะครับ"
"ทำไมล่ะจ๊ะ มีอะไรเหรอ"
"ก็...ก็...ไม่มีอะไรหรอกครับ พ่อบอกว่าอะไรๆ ก็ควรจะกันไว้ดีกว่าแก้ครับ วัวหายแล้วล้อมคอก อายคนอื่นเขาเปล่าๆ"
"แหม...พ่อเธอนี่ท่าทางจะเป็นคนละเอียดรอบคอบ"
"ครับ คุณขึ้นเรือนไปเถอะครับ ผมไปไม่ได้หรอกถ้าคุณไม่ขึ้นเรือนก่อน"
"จ้ะ...สุภาพบุรุษตัวน้อย ขอบใจนะจ๊ะ"
"ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ"
พอ มาลินีก้าวขึ้นบันได ปื๊ดก็หันหลังออกเดิน พร้อมกับแหกปากร้องเพลงเอาเสียงเป็นเพื่อนระหว่างทางมืดๆ ส่วนลีนวัตรก็ขยับออกจากที่ซ่อนหลังพุ่มไม้ ชะเง้อมองไปบนบ้าน พูดงึมงำถึงมาลินีว่าหัวอ่อนเหมือนกัน ให้ทำอะไรก็ทำ
จู่ๆมาลินีเปิด ประตูออกมาเหมือนนึกอะไรได้ เธอร้องเรียกปื๊ด แต่ต้องอ้าปากค้าง เพราะเห็นร่างทะมึนหน้าขาววอกในความมืด ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากผี เธอเย็นวาบไปทั้งตัว คิดว่าเป็นผีเจ้าที่แน่ๆ พนมมือไหว้แผล็บแล้วรีบโกยเข้าบ้านปิดประตูปัง ลีนวัตรเองก็ใจหายใจคว่ำ รีบถอยออกไป จากตรงนั้นทันที
มาลินีนอนกระสับกระส่ายในมุ้งพยายามข่มตาแต่ก็ไม่หลับเพราะแปลกที่ เธอลุกขึ้นนั่งบ่นกับตัวเองอย่างถอดใจ
" จะอยู่เข้าไปได้ยังไง...ยัยมา...ให้คนอื่นเช่าก็ไม่ได้ ยายขายาย ยายจะโกรธมาไหม ถ้ามาจะขายจริงๆ มาเป็นคนกรุงเทพฯนะ ไม่ใช่คนบ้านนอก ยายต้องเข้าใจมาบ้างนะ"
ขณะเดียวกัน ประดิษฐ์ แฟนหนุ่มสุดที่รักของมาลินีกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในผับ หลังจากพยายามโทร.หามาลินีแต่ไม่สามารถติดต่อได้ ครั้นกลับไปที่คอนโดฯด้วยความหิวโซ เห็นของกินในถุงวางอยู่ก็คว้ามาเปิดกิน แต่ต้องรีบวิ่งไปถุยทิ้งเพราะมันบูดเน่าหมดแล้ว...
ด้านลีนวัตรที่เพิ่ง กลับมาถึงบ้าน หลังไปแอบดูมาลินีมาครู่หนึ่ง ลีนวัตรเอาสมุดบัญชีเงินฝากออกมาดูตัวเลข และคุยกับแม่ปุยอย่างมั่นใจว่ามาลินีต้องขายที่ดินของคุณนายวันให้ตนแน่ ซึ่งเธออาจจะเรียกราคาจนเราหงายหลัง แม่ปุยบอกให้ลูกชายลองฟังเธอดูก่อน ไม่ไหวจริงๆค่อยต่อรอง แต่ตอนนี้แม่ปุยอยากให้ผู้ใหญ่ลีแวะไปดูเธอหน่อย ผู้หญิงตัวคนเดียวคงนอนผวาหลับตาไม่ลง ลีนวัตรหรือผู้ใหญ่ลีทำเป็นยึกยักอิดออดก่อนตอบตกลง เพราะใจจริงนั้นอยากไปเต็มแก่
มาลินีกำลังเคลิ้มจะหลับ ต้องสะดุ้งลืมตาเมื่อได้ยินเสียงโครมครามใต้ถุนบ้าน เธอรวบรวมความกล้าวิ่งไปคว้าสากกะเบือเหมาะมือ แล้วเปิดหน้าต่างร้องถามว่าใคร ผีหรือคน...ลีนวัตรที่ตั้งใจมาตรวจดูความเรียบร้อยเกิดพลาดเตะข้าวของอย่าง ไม่ตั้งใจ จึงรีบทำเสียงแมว มาลินีเห็นเงาตะคุ่มๆในความมืดก็ตกใจ เขวี้ยงสากกะเบือออกไปสุดแรง โดนหัวลีนวัตรเต็มๆ ถึงร้องโอ๊ย แล้วโกยหนีไม่คิดชีวิต เลยเดือดร้อนแม่ปุยต้องหายามานวดหัวให้ พลางก็พูดสมน้ำหน้าลูกชายว่า อย่างนี้เขาเรียกกรรมตามสนอง ผู้ใหญ่ทำกับเขาเอาไว้ เขาก็มาเอาคืน มันเป็นธรรมของโลก...
เช้าขึ้น แม่ปุยสาละวนเตรียมอาหารให้ลูกหลานที่ยังอยู่ในวัยเรียน ทั้งกินมื้อเช้าและเตรียมให้ไปกินมื้อกลางวันที่โรงเรียนด้วย ฉลวยเรียนอยู่มัธยมปลาย เฉลาอยู่ระดับ ปวช. ขณะที่ปื๊ดเพิ่งอยู่ประถม...แต่ขณะที่ใครๆเขาตื่นเช้าวุ่นวายกับกิจวัตร ประจำวัน มาลินีกลับยังนอนหลับอุตุอยู่ที่บ้านคุณยาย จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงประหลาดนอกมุ้ง ลืมตาขึ้นมองแล้วแทบกรี๊ด เห็นไก่หลายตัวบุกขึ้นมาจิกหาอาหาร...หลังจากให้ ข้าวให้น้ำไก่เรียบร้อยแล้ว มาลินีถือไม้ติดมือเดินเตร่ออกไป ทุ่งนา แล้วเห็นใครคนหนึ่งก้มๆเงยๆอยู่กับต้นข้าวในนา จึงเดินเข้าไปใกล้ ร้องถามเขาว่าทำอะไร
ลีนวัตรเงยหน้าเห็นมาลินีก็ตกใจ รีบเอาผ้าขาวม้าคลุมหัวคลุมหน้า ก่อนตอบเธอว่า เก็บหอยเชอรี่ และว่ามันร้ายกาจกินทุกอย่างในนาไม่เหลือหลอ มาลินีจึงอยากเห็นหน้าตาหอยเชอรี่ ลีนวัตรขยับเข้าใกล้แบมือที่กำหอย
เชอรี่ไว้หลายตัวให้เธอดู แต่ทันใดมาลินีก็กระตุกผ้าขาวม้าที่หัวเขาออก แล้วเอาไม้ในมือขู่
"ฉันจำนายได้ตั้งแต่แรกแล้ว ไอ้คนโรคจิต นายต้องเป็นคนแถวนี้แหละ ชื่ออะไรบอกมาซะดีๆ ฉันจะได้ฟ้องผู้ใหญ่ลีให้จัดการกับนาย"
"ใจเย็นๆสิคุณ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้ แต่อย่าให้เรื่องไปถึงผู้ใหญ่ลีเลย"
"กลัวใช่ไหมล่ะ นายคงไม่รู้ละมังว่าฉันสนิทกับผู้ใหญ่ลีขนาดไหน"
ลีนวัตรหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ หญิงสาวฉุน ถามเขาว่าหัวเราะอะไร
"ผู้ใหญ่ลีน่ะ แค่เห็นผมก็วิ่งหางจุกตูดแล้วคุณ"
" หยาบคายมาก งั้นไม่ต้องถึงผู้ใหญ่ลีก็ได้" มาลินีฟาดเขาด้วยไม้ แต่ไม่ถูกสักทีเพราะเขาหลบยึกยักไปมา แถมคว้าไม้แย่งดึงไปจากมือเธอ แล้วหักไม้ทำหน้าโหดใส่ แกล้งย่างสามขุมเข้าหา มาลินีกลัวเลยโกยแน่บจนสะดุดขาตัวเอง ตกคันนาเละเทะไปทั้งตัว ลีนวัตรถึงกับปล่อยก๊าก แล้วเดินจากไปอย่างลอยนวล

ooooooo

คืน เดียวกันนี้ที่ศาลาตั้งศพคุณนายวัน มีการสวดอภิธรรมศพตามปกติ...ครั้นพระลงจากศาลาไปเป็นอันเสร็จ ชาวบ้านก็ล้อมวงกินข้าวต้มที่เฉลากับฉลวยน้องสาวของลีนวัตรยกมาเสิร์ฟจนครบ ทุกคน จากนั้นสองสาวก็เลี้ยวมาที่พี่ชายกับแม่ที่นั่งอยู่หน้าโลงศพ
" แม่...พี่ลี ข้าวต้มจ้ะ" ฉลวยยกถาดข้าวต้มส่งให้แม่กับพี่ชาย ปื๊ดที่นั่งโซ้ยข้าวต้มอยู่ก่อนแล้วรีบยกชามขึ้นซดน้ำจนเกลี้ยงแล้วหยิบชาม ใหม่ในถาดมากินอีก เฉลาจึงถามกึ่งบ่นปื๊ดว่ากินไปกี่ชามแล้ว ปื๊ดชูสามนิ้ว พลางก็พูดยิ้มๆ "ก็มันอร่อยนี่"
"ท้องแตกดีกว่าของเหลือใช่ไหม" ฉลวยพูดแล้วหัวเราะขำปื๊ด แม่ปุยไม่ว่ากระไร ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วก็หารือ ลีนวัตรเรื่องหลานคุณนายวัน
"นี่ก็ตั้งศพสวดมาตั้งสามวันแล้วนะผู้ใหญ่ หลานสาวคุณนายวันแกยังไม่มาเลย จะเอายังไงกันดี"
"ยังไงก็ต้องทำตามคำสั่งคุณนายวันจ้ะแม่ สวดสามวันก็คือสามวัน"
"รอแกอีกหน่อยก็ได้มั้ง พรุ่งนี้แกอาจจะมาก็ได้ เดี๋ยวแกจะหาว่าเราไม่รอแก"
"คำสั่งของคุณนายวันสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้นจ้ะแม่ หนูไม่อยากให้คุณนายวันไม่สบายใจ"
"แต่หนูว่าสวดไปเรื่อยๆก็ดี จนกว่าคุณแกจะมา"
"เอ็งจะได้มีของกินอร่อยๆอย่างนี้ทุกคืนใช่ไหมล่ะ"
"พ่อนี่รู้ใจปื๊ดที่ซู้ด..." ปื๊ดลากเสียงจนลีนวัตรหมั่นไส้ เขกหัวไปที "นี่แน่ะ เห็นแก่กิน"
พอก ลับ ถึงบ้านอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว ลีนวัตรหยิบเสื้อและกางเกงออกมาแขวนนอกห้อง แม่ปุยเห็นแล้วเกิดความสงสัย จึงสอบถาม ก็ได้ความว่าพรุ่งนี้ลีนวัตรจะเข้ากรุงเทพฯ ไปดูหลานสาวคุณนายวัน อยากรู้เธอติดขัดอะไรถึงไม่ยอมมางานศพยาย
"แกอาจจะไม่ได้รับจดหมายของผู้ใหญ่ก็ได้"
"หนูว่าหนูทวนดูดีแล้วนะจ๊ะแม่ หนูจ่าหน้าซองไม่ผิดหรอก"
"แกอาจจะติดธุระสำคัญก็ได้นี่ผู้ใหญ่"
"ธุระอะไรมันจะสำคัญกว่ามาคารวะศพพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หนูก็อยากรู้เหมือนกัน"
"แล้วจะไปกี่โมงล่ะผู้ใหญ่"
"ก็คงออกแต่เช้ามืดแหละแม่ จะไปจับรถเที่ยวแรกให้ทัน"
"แม่จะนึ่งข้าว ทอดเนื้อไว้ให้ก็แล้วกัน ห่อข้าวไปกินจะได้ไม่ต้องไปซื้อเขาให้มันเปลือง"
"จ้ะแม่"
แม่ปุยแยกตัวไปทางครัว ลีนวัตรนึกถึงการไปกรุงเทพฯครั้งนี้ แล้วรู้สึกหนักใจไม่น้อย

ooooooo

มาลินี ปักหลักอยู่ที่บ้านสมรตั้งแต่เมื่อคืน และข่มตาให้หลับไม่ได้เลย นั่งเฝ้าโทรศัพท์มือถือตลอดคืน เผื่อประดิษฐ์จะโทร.เข้ามา ถ้าเธอรับช้าเดี๋ยวเขาจะโกรธเอาอีก ครั้นเช้าขึ้นหน้าตามาลินีจึงอิดโรย สมรเห็นสภาพเพื่อนแล้วยิ่งสงสาร
"สมร...ถ้าดิ๊กเขาไปจากชีวิตฉันจริงๆ ฉันจะทำยังไงดี"
" ไม่รู้สิ...ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงต้องอยู่ให้ได้ละมัง อยู่คนเดียวให้อะไรๆมันค่อยๆร่วงโรยไป...เหมือนดอกไม้ที่นับวันมีแต่จะเฉา ลงๆ จนเหี่ยวแห้งไปในที่สุด"
"ดูโหดร้ายจังเลยนะ ทำไมผู้ชายถึงเข้าใจได้ยากขนาดนี้นะ"
"ฉันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน"
"ตลอดชีวิตของฉัน ฉันรู้จักผู้ชายอยู่แค่สองคน พ่อฉันกับดิ๊กนี่แหละ ถ้าเขาโทร.เข้ามาฉันควรจะพูดประโยคแรกกับเขายังไงดีสมร"
"ก็...ฮัลโหล สวัสดีค่ะไง"
"ไม่ใช่ จะพูดยังไงให้เขาหายโกรธ"
"ก็ขอโทษเขาสิ ถ้าเราเผลอทำอะไรให้เขาโกรธก็ขอโทษ"
"ดีเหมือนกันนะ ไม่มีอะไรดีไปกว่าคำว่าขอโทษ โทร.มาสิดิ๊ก โทร.มาสิคะ"
"ยายมา...แทนที่แกจะมัวมานั่งคอยให้เขาโทร.มา ทำไมแกไม่โทร.ไปหาเขาซะเองล่ะ"
"จะดีเหรอสมร"
"ฉันว่ามันไม่แปลกหรอกนะ ที่สมัยนี้ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายง้อผู้ชายก่อนน่ะ"
มาลินี คล้อยตาม หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดทันที... ประดิษฐ์กำลังแทงสนุ้กกับเพื่อนๆ ซึ่งเล่นพนันกันมาตั้งแต่ เมื่อคืน อดนอนจนตาลาย พอเห็นมาลินีโทร.เข้ามา ประดิษฐ์กดรับแล้วเดินเลี่ยงจากกลุ่มเพื่อนที่ส่งเสียงแซวออกมาคุยข้างนอก


"ดิ๊ก...มาเองค่ะ" น้ำเสียงมาลินีเกรงใจสุดขีด
"ผมกำลังจะโทร.หามาอยู่พอดีเลย คิดถึงมาจะแย่อยู่แล้วรู้ไหม มาอยู่ไหนครับ"
"มา...มาอยู่บ้านสมรค่ะ"
"ไปอยู่บ้านเขาทำไม ทำไมไม่กลับบ้านเราครับ จะให้ ผมไปรับไหม"
มาลินีตื้นตันใจปีติน้ำตาแทบร่วงเพราะพลิกล็อกผิดคาด ประดิษฐ์หวานสุภาพเหมือนลูกแมวเชื่องๆ
"ไม่เป็นไรค่ะ มากลับเองได้ เดี๋ยวเจอกันที่คอนโดฯนะคะ มาจะซื้อของกินเข้าไปด้วย ดิ๊กอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ"
"อะไรก็ได้ครับ มาซื้ออะไรก็อร่อย แต่ผมอยากเห็นหน้ามาเร็วๆมากกว่า รีบมานะครับ คิดถึงนะ จุ๊บๆ"
มาลินียิ้มแก้มปริที่รักคืนใจ สมรเงี่ยหูฟังอยู่ใกล้ๆ ก็พลอยยินดีกับเพื่อนไปด้วย
"เห็นไหม...ฉันบอกแล้ว ไม่มีอะไรเยียวยาแผลจากความรักได้ดีเท่าความจริงใจหรอก"
"ขอบใจเธอมากจริงๆนะสมร เธอช่วยฉันได้มากจริงๆ ถ้าไม่ได้เธอ ฉันคงกลุ้มใจตายไปแล้ว"
"มีอะไรก็ค่อยๆพูด ค่อยๆจากันนะ จะได้ไม่เกิดปัญหาอีก"
"ฮื่อ...ฉันจะพยายามพูดน้อยๆ จะได้ประคับประคองความรักของฉันให้อยู่นานๆ"
สมรพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะสวมกอดให้กำลังใจมาลินี


ooooooo


ลี นวัตรออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ได้ขึ้นรถเที่ยวแรกอย่างที่ตั้งใจ แต่เมื่อเขาคลำทางมาตามที่อยู่ที่จดใส่ กระดาษจนถึงคอนโดฯของมาลินี เขาเข้ามาติดต่อประชา-สัมพันธ์ที่ชั้นล่าง ก็ได้คำตอบว่ามาลินีไม่อยู่ ออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อวาน...ชายหนุ่มบ้านนาจึงขอนั่งรอตรงมุมรับแขก แต่รอไปรอมารู้สึกหิวจึงงัดข้าวเหนียวกับเนื้อทอดของแม่ปุยออกมากิน
ขณะ เดียวกันนั้น มาลินีกำลังจะนั่งแท็กซี่ออกจากหน้าบ้านสมรด้วยหัวใจพองโตที่ประดิษฐ์ไม่ โกรธเธอแล้ว...ฝ่ายประดิษฐ์ก็กำลังขับรถกลับคอนโดฯเช่นกัน ขณะซิ่งรถมาถึงหน้าคอนโดฯด้วยความรีบร้อนไม่เกรงใจใคร ประดิษฐ์เกือบเฉี่ยวชนลีนวัตรที่เดินข้ามฝั่งไปซื้อน้ำดื่ม ทั้งอาหารทั้งขวดน้ำในมือลีนวัตรเลยหลุดมือหล่นกระจาย
ประดิษฐ์ไม่พอใจ กดกระจกลงร้องด่าเขาทันที
"ไอ้บ้า...อยากตายรึไงวะ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ถนนรถวิ่งนะโว้ย ไม่ใช่ทางควายเดิน"
"อ้าว..." ลีนวัตรร้องอ้าวได้คำเดียว ประดิษฐ์ก็รัวมาอีกชุด
"รถอั๊วมันไม่ใช่บาทสองบาทนะโว้ย แค่สีถลอกลื้อก็ไม่มีปัญญาชดใช้แล้ว"
ลีนวัตรระงับโทสะ ไม่อยากมีเรื่อง "ขอโทษครับ ผมขอโทษครับ"
"ไอ้บ้าเอ๊ย...บ้านนอกชิบเป๋ง" ประดิษฐ์ออกรถไปอย่างหัวเสีย
" เป็นงั้นไป...คนกรุงเทพฯจงเจริญ" ว่าแล้วลีนวัตรก็ก้มลงเก็บห่อข้าวและขวดน้ำด้วยความเซ็งสุดขีด เสร็จแล้วเข้าไปนั่งอดทนรอมาลินีต่อไป
แต่เมื่อมาลินีมาถึง เธอกลับควงประดิษฐ์ขึ้นลิฟต์โดยไม่ได้สนใจลีนวัตรที่พยายามจะเรียก ส่วนลีนวัตรเมื่อเห็นมาลินีแนบชิดผู้ชายหายขึ้นห้องไปก็หน้าเหี่ยวหน้าแห้ง เดินมาขอให้ พนักงานต่อสายขึ้นไปหามาลินีที่ห้องเพราะมีธุระสำคัญ
ประดิษฐ์ หงุดหงิดกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะขณะเขากำลังสวีตกับมาลินี จึงขอเป็นคนรับเอง พอได้ยินพนักงานบอกว่ามีผู้ชายมาขอพบคุณมาลินี ประดิษฐ์หันมาจ้องมาลินีอย่างเอาเรื่อง
"คุณนัดผู้ชายที่ไหนมา"
มาลินีตกใจ รีบทำมือปฏิเสธ ประดิษฐ์จึงกระชากเสียงไปตามสายที่มีเสียงผู้ชายดังแว่วมา
"ลื้อเป็นใคร รู้จักแฟนอั๊วได้ยังไง"
"ผมชื่อลีนวัตร ผม..."
"มันบอกมันชื่ออะไรวัดๆก็ไม่รู้"
มาลินีส่ายหน้าดิก ยืนยันไม่รู้จักใครที่ชื่อวัด ประดิษฐ์ เลยใส่ต่อไม่ยั้ง
"ลื้อมันพวกมิจฉาชีพ เดี๋ยวอั๊วจะเรียกตำรวจ อย่าหนีไปไหนนะโว้ย"
"มาจัดการเองค่ะ" เธอดึงโทรศัพท์จากมือเขาทันที "นี่...แก...แกมันพวกโรคจิตใช่ไหม"
"คุณ...คุณมาลินี..."
" มีไม่กี่คนหรอกที่รู้จักที่อยู่ของฉัน แกต้องเป็นพวกโรคจิตที่คอยสะกดรอยตามซุปเปอร์โมเดลอย่างฉันแน่ๆเลย ไปให้พ้นเลยนะ แล้วถ้ามาวอแวฉันอีก แฟนฉันต้องฉีกแกเป็นชิ้นๆแน่ ไอ้บ้า"
มาลินี พูดจบก็วางหูดังโครม ลีนวัตรสะดุ้งสุดตัวกับเสียงกระแทกวางสาย หมดหวังหมดศรัทธาเหมือนถูกไล่ตะเพิด แถมปิดประตูใส่หน้า...ลีนวัตรเดินเซ็งออกมาหน้าคอนโดฯหันกลับไปมองที่ตัวตึก แล้วถอนใจเฮือก
"เป็นอย่างคุณนายวันว่าไว้จริงๆ น่าเสียดาย"


ooooooo


ประดิษฐ์นอนหนุนตักมาลินีที่นั่งบนโซฟาตัวใหญ่ สองมือของเขากุมมือเธอไว้อย่างทะนุถนอมราวกับรักกันปานจะกลืนกิน
"ดิ๊กง่วงก็นอนซะนะคะ มาจะไปเตรียมของกิน เดี๋ยวมามาปลุก"
"ไม่เอาหรอก ดิ๊กอยากหนุนตักมาอย่างนี้ไปนานๆ มันทำให้ดิ๊กคิดถึงแม่รู้ไหม มาดีกับดิ๊กเหมือนเป็นแม่ดิ๊กเลย"
มาลินียิ้มเจื่อน เธอควรจะดีใจดีไหมหนอ...
"เมื่อไหร่เราจะแต่งงานกันดีล่ะ ปีหน้าไหม"
"มาแล้วแต่ดิ๊ก ดิ๊กพร้อมเมื่อไหร่ มาก็พร้อมเสมอ"
"ดิ๊กว่าจะกลับไปทำงานซะที ลอยไปลอยมาอยู่อย่างนี้ดิ๊กรำคาญตัวเองเหมือนกัน"
"ดีค่ะ...เราจะได้ช่วยกันเก็บตังค์เอาไว้สร้างครอบครัวของเรา ซื้อบ้านซักหลังที่มีบริเวณ มีสนามเอาไว้ปลูกดอกไม้สวยๆ"
ทัน ใด ประดิษฐ์ลุกพรวดหน้าหงิก "พูดยังงี้หมายความว่ายังไง" มาลินีตกใจยิ้มค้างกับภาพฝัน "มากำลังด่าดิ๊กว่าดิ๊กเป็นแมงดาเกาะมากินใช่ไหม"
"มายังไม่ได้พูดซักคำ"
"ไม่ได้พูดแต่ความหมายมันเป็นอย่างนั้น"
"ดิ๊ก...มาไม่ได้ตั้งใจ"
"ใช่ซี้...ดิ๊กมันไม่มีอะไรดีเลยซักอย่าง จะกินยังต้องให้
มา หาเลี้ยง" ประดิษฐ์คว้ากุญแจรถผลุนผลันจะออกไป มาลินีถามระรัวว่าดิ๊กจะไปไหน "ก็คงไปตระเวนหางานทำมั้ง งานอะไรดิ๊กก็ต้องทำทั้งนั้น มาจะได้เลิกดูถูกดิ๊กซะที ถ้ามาเข้าเซเว่นแล้ว
ไปเจอดิ๊กเป็นพนักงาน ก็อย่าอายจนลืมทักทายกันบ้างก็แล้วกัน"
ประดิษฐ์ปั้นฟอร์มหัวใจชอกช้ำก่อนจะพรวดพราดออกไป มาลินีแทบล้มทั้งยืน...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ


ooooooo


ข้าง ฝ่ายลีนวัตรที่ต้องผิดหวังกลับมา...แม่ปุยจึงว่าไปเสียเที่ยว ได้เจอแต่ไม่ได้คุยกัน ลีนวัตรไม่อยากพูดอะไรมาก ยังรู้สึกแปลบๆที่หัวใจเมื่อรู้ว่ามาลินีมีแฟนแล้ว เขาเสบ่นหิวข้าว และถามน้องๆว่าทำอะไรกินบ้าง พูดพลางก็เดินเลี่ยงไปทางครัว
"พี่ลีทำท่าเหมือนคนอกหัก" ฉลวยแอบเม้าท์ จึงถูกแม่ปุยดุว่ารู้ดี
" อย่างนี้ศพคุณนายวันมิต้องตั้งเอาไว้จนแห้งแหงแก๋เหรอแม่" เฉลาเอ่ยขึ้นมา แม่ปุยไม่ตอบ แต่ทำหน้าหนักใจแทนลูกชาย แล้วไล่สองสาวไปจัดสำรับกับข้าวให้พี่ชายก่อน
ด้านมาลินีที่เหมือนสวรรค์ ล่มลงอีกครั้ง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะประคับประคองความรักให้ได้นานๆอย่างที่บอกกับสมรเอาไว้ ครั้นสมรโทร.มาถามความคืบหน้าขณะอยู่กับวลัยที่บ้าน มาลินีเลยต้องกลบเกลื่อนปิดบังความทุกข์ ทำแจ่มใสเพราะกลัวเพื่อนด่า
"ฮื่อ...ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา"
"คุยกันเรียบร้อยแล้ว เข้าใจกันดีแล้ว ฉันก็ดีใจด้วย ยายวลัยมันเป็นห่วงแกมาก คุยกับมันหน่อยนะ ให้มันอิจฉาเล่น"
" นี่ยายมา...ถ้าแกกับแฟนแกเคลียร์กันได้แล้ว ฉันก็ดีใจด้วย แต่ยังไงฉันก็ยังยืนยันว่าแกควรจะรักแล้วหยิ่งในศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงของพวก เราเอาไว้ให้มากๆ ไม่อย่างนั้น เช้าทะเลาะกัน ตกเย็นก็คืนดีกันอยู่อย่างนี้ เพื่อนอย่างฉันก็ไม่พ้นเป็นหมาหัวเน่าเข้าใจไหม"
คำพูดของวลัยทำเอามาลินีน้ำตาแทบร่วง แต่พยายามปั้นหัวเราะ
" ขอบใจนะวลัย เธอยังเป็นเพื่อนรักของฉันเสมอ ไม่มีวันเป็นหมาหัวเน่าหรอก...ดิ๊กเหรอ เขาก็อยู่แถวเนี้ย อาบน้ำอยู่มั้ง เดี๋ยวเขาจะพาฉันไปกินข้าวนอกบ้าน ยังไม่รู้เหมือนกันอาจจะเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสมั้ง...แค่นี้ก่อนนะ ฉันแต่งหน้าก่อน ดิ๊กเขาว่าหน้าฉันอ่อนไป" แล้วแกล้งตะโกนราวกับอยู่กับแฟนจริงๆ "จะไปแล้วค่ะ ดิ๊กเขาเรียกแล้ววลัย แค่นี้ก่อนนะ"
มาลินีรีบกดวางสายแล้วร้องไห้โฮ ถ้าเพื่อนๆรู้ความจริง เธอต้องถูกประณามหยามเหยียดว่าโง่ ชีวิตเหมือนย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย...


ooooooo


แม่ปุยยังข้องใจเรื่องหลานสาวคุณนายวัน จึงหาโอกาสเหมาะๆคุยกับลีนวัตรตามลำพังในตอนกลางคืน
"ผู้ใหญ่...ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่ เรื่องหลานสาวคุณนายวัน"
"เขาจะมาหรือไม่มามันก็เรื่องของเขาแล้วละแม่"

"แล้วเขาบอกผู้ใหญ่รึไงว่าเขาจะไม่มา"

"เปล่า"

"อ้าว แล้วผู้ใหญ่จะมาเหมาเอาเองยังงี้ได้ยังไง"

"คุณนายวันเป็นยายแท้ๆของเขาทั้งคน เขายังไม่มีแก่จิตแก่ใจจะมาทำศพเลยนะแม่"

"เขาอาจจะไม่ได้รับจดหมาย"

"มันเป็นไปไม่ได้หรอกแม่ เขาไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า เพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ"

"ยังไง...พูดยังไง"

" หนูว่าเราเตรียมเงินเอาไว้ซื้อที่นาของคุณนายวันเถอะ ยังไงเขาก็ต้องขาย น้ำท่วมหลังเป็ดแน่ ถ้าคนกรุงเทพฯอย่างเขาคิดจะทำไร่ไถนาอยู่บ้านนอกอย่างนี้" ลีนวัตรตัดบทอย่างมั่นใจ...

เที่ยงคืนกว่าแล้ว มาลินียังนั่งตาแป๋ว ทั้งที่พยายามทำตัวเองให้ง่วง ให้ลืมเรื่องปวดใจด้วยการกวาดถูห้องตั้งแต่หัวค่ำ

"ง่วงซะทีสิ ง่วงๆๆ ฉันจะได้หลับซะที...เฮ้อ จัดห้องใหม่ ดีกว่า"

ขณะ จัดห้องไปเรื่อยเปื่อย มาลินีสะดุดตากับกองจดหมาย จึงหยิบทั้งหมดมานั่งพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร แยกซองค่าใช้จ่ายต่างๆออก แล้วจึงพบจดหมายของผู้ใหญ่ลีที่จ่าหน้าซองด้วยลายมือ ซึ่งเธอแทบไม่เคยได้เห็นมาเป็นชาติแล้ว

หลังจากแกะจดหมายนั้นออกอ่าน มาลินีถึงกับน้ำตาร่วงเผาะ...พอเช้าขึ้นจึงออกเดินทางพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ ไปขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่งมุ่งหน้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรี

แต่การเดิน ทางไปคลองหมาหอนบ้านคุณนายวันไม่ ธรรมดาเลย มาลินีต้องขึ้นรถสองแถวเบียดเสียดไปกับชาวบ้าน ปุเลงๆไปตามถนนที่มีแต่ฝุ่น แถมเจอหลุมเจอบ่อน้ำเฉอะแฉะจนรถติดหล่มไปไม่ได้ ต้องลงเดินต่ออีกสองสามกิโล

มาลินี แทบจะบ้าตาย กัดฟันเดินโขยกเขยกลากกระเป๋าเดินทางไปถึงตลาด เป็นเวลาที่ลีนวัตรขับเรือหางยาวมาจอดที่ท่าน้ำใกล้ร้านกาแฟที่คุ้นเคย พอชายหนุ่มเห็นกระเป๋าเดินทางไฮโซถูกลากผ่านหน้า เขาสะดุดตาจนอดไม่ได้ต้องเงยขึ้นมองหน้าเจ้าของกระเป๋าแล้วต้องตะลึงตาค้าง

"ซื้อน้ำเปล่าขวดนึงค่ะ เอาเย็นๆนะคะ"

"หยิบเอาเลย ในตู้น่ะ"

มาลินี เดินไปที่ตู้แช่ตามที่เจ้าของร้านบอก กรีดนิ้วเปิดตู้ด้วยกลัวเล็บยาวๆของตนจะหัก และไม่ค่อยมั่นใจกับความสะอาด ลีนวัตรมองเธอจนแน่ใจว่าตาไม่ได้ฝาด แล้วรีบขนของออกไปที่เรือเตรียมกลับ...มาลินีจ่ายค่าน้ำและสอบถามเจ้าของ ร้านว่าเธอจะไปคลองหมาหอน จะไปยังไงได้ เจ้าของร้านซักกลับจนรู้ว่ามาลินีจะไปบ้านคุณนายวันผู้ขว้างขวางในแถบนี้ เขาจึงชี้มือไปทาง
ผู้ใหญ่ลีทันที

"โน่นเลย เรือลำนั้นน่ะ คุณขอเขาไปด้วย เขากำลังจะไปคลองหมาหอนพอดี"

" ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก" มาลินีรีบคว้ากระเป๋าลากออกไปจากร้าน ลีนวัตรชะเง้อมองเธออยู่ก่อนแล้ว รีบเอาผ้าขาวม้าคลุมปิดหัวปิดหน้า และทำวุ่นวายกับการจัดของใส่เรือหางยาวแล้วไม่ว่าหญิงสาวจะเข้ามาสอบถามอะไร เกี่ยวกับการไปบ้านคุณนายวันที่คลองหมาหอน ชายหนุ่มก็เอาแต่ก้มหน้าตอบรับสั้นๆอย่างเดียว

"ถ้างั้นฉันขอไปด้วยคนได้ไหมคะ จะคิดค่าเสียเวลาเท่าไหร่"

ลีนวัตรชะงัก...นึกในใจว่าคนกรุงเทพฯอะไรๆก็แลกได้ด้วยเงิน

"นี่คุณ..."

" ลงมา...หาที่นั่งเอาเอง" เขาพูดสวนขึ้นมาห้วนๆ เธอจึงวานเขาช่วยรับกระเป๋าลงเรือให้ด้วย กำชับว่าต้องระวังดีๆ กระเป๋ามันแพง แล้วก็มีของสำคัญๆทั้งนั้น ลีนวัตรรับฟังแต่ไม่ ทำตาม ยกกระเป๋าไฮโซของเจ้าหล่อนโยนโครมลงเรือ มาลินีแทบกรี๊ดแต่ระงับใจไว้ แค่นยิ้มปากสั่น

"ลงมาสิ" เสียงเขาเร่ง เธอกลับให้รอแป๊บนึง ขอทาครีมกันแดดก่อน ว่าแล้วเธอถอยเข้าร่ม หยิบครีมกันแดดออกมาทามือทาแขน ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนรอด้วยความเซ็ง...

ครู่ต่อมา เรือหางยาวของลีนวัตรแล่นตัดผิวน้ำ มาลินีนั่งห่อตัว บนหัวมีผ้าคลุมกันแดดกันลม แต่แล้วแรงลมก็ทำให้ผ้าปลิวหลุดมือคว้าไม่ทัน ผ้าลอยตามลมมาโป๊ะปิดหน้าลีนวัตรที่บังคับเครื่องท้ายเรือ ลีนวัตรมองไม่เห็น ตะกุยเอาผ้าออกจากหน้าอีนุงตุงนัง

มาลินียิ้มแหย เหมือนสำนึกผิดในที แต่พอลีนวัตรขยุ้มผ้าม้วนๆแล้วเขวี้ยงคืนมา เธอก็เอาผ้าคลุมหัวคลุมตัวกันแดดกันลมเหมือนเดิม ลีนวัตรหมั่นไส้เลยดับเครื่องมันซะดื้อๆ

"ถึงแล้วเหรอ จริงๆก็ไม่ไกลเลยนี่"

"ยังไม่ถึง"

"แล้วดับเครื่องทำไมล่ะ"

"มันดับเอง เป็นยังงี้ประจำแหละ"

พูด จบเขาแกล้งทำเป็นพยายามกระตุกเชือกสตาร์ตเครื่อง แต่ก็ไม่ติด มาลินีเริิ่มบ่น กลัวจะไปต่อไม่ได้ ลีนวัตรรีบบอกไปได้แน่ ถ้าช่วยกันพาย...พอเขาส่งพายให้ เธอโวยทันทีว่า ฉันเป็นผู้โดยสารนะ แล้วก็พายเรือไม่เป็นด้วย

"จะไปไหม คลองหมาหอนน่ะ จะไปก็ต้องช่วยกันพาย"

เจอ ไม้นี้เข้า มาลินีจำต้องจับพายจิ้มลงน้ำเก้ๆกังๆ ทั้งพายไม่เป็น ทั้งกลัวเล็บสวยๆจะหัก ลีนวัตรคิ้วขมวด ทั้งขำและปลงสังเวชกับท่าทางยักแย่ยักยันของเจ้าหล่อน

อีกพักใหญ่ๆ เรือเข้าเทียบริมตลิ่ง มาลินีลิ้นห้อยหมดสภาพสิ้นเรี่ยวแรง ลีนวัตรยิ้มสะใจ และเผลอเปิดผ้าขาวม้าที่คลุมหัวออกเพื่อเช็ดเหงื่อ

"ถึงแล้ว" เขาบอก

"ถึงแล้ว...ไหน ฉันไม่เห็นมีบ้านซักหลัง มีแต่ทุ่งหญ้า"

"นี่มันทุ่งนาไม่ใช่ทุ่งหญ้า ต้นข้าวยังไม่รู้จักเลยเหรอคุณ"

"มันก็เหมือนกันน่ะแหละ ไหนล่ะบ้านคุณวัน"

" คุณต้องเดินไปอีกหน่อย ไม่ไกลหรอก ไปตามคันนานี่นะ พอเจอทางถนนก็เลี้ยวขวา เจอแยกก็เลี้ยวซ้าย แยกอีกทีก็เลี้ยวขวา ซ้ายแล้วก็ขวา ขวาแล้วก็ซ้าย"

"โอ๊ย ใครจะไปจำได้ เอาอีกทีซิ"

"เอาเหอะน่า เดินไปเหอะ"

"แล้วถ้าเกิดฉันหลงขึ้นมาล่ะ"

"มีปากไหมล่ะคุณ ปากเขามีไว้ให้ถาม ไม่ได้มีไว้ให้บ่นอย่างเดียว"

มาลินีโกรธกระฟัดกระเฟียดขึ้นจากเรือทันที "กระเป๋าฉัน ส่งกระเป๋ามาให้ด้วย ระวังหน่อยนะกระเป๋าแพง แล้วในนั้นก็..."

ไม่ ทันขาดคำ ลีนวัตรก็โยนกระเป๋าของเธอขึ้นไปนอนแอ้งแม้งบนตลิ่ง มาลินีกรี๊ดกระจาย แต่เขากลับหัวเราะชอบใจ พอเธอคว้ากระเป๋าจะเดินไป เขารีบท้วงเธอว่า ลืมอะไรไปอย่างนึง

"อะไร" เธอหันมากระชากเสียง

"ลืมขอบคุณ"

หญิง สาวหน้าหงิก เปิดกระเป๋าถือหยิบเงินออกมาหนึ่งร้อย "ทีแรกฉันตั้งใจจะให้ซักห้าร้อย แต่บริการของนายแย่มากเข้าขั้นห่วยแตก เอาไปร้อยเดียวก็คงเหลือแหล่"

"คุณเก็บเงินคุณเอาไว้ซื้ออย่างอื่นเถอะ คนคลองหมาหอนเนี่ย บางทีเงินก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก"

" หยิ่งซะด้วย...ดี เพราะจริงๆแล้ว บาทเดียวกับบริการอย่างนี้ นายก็ไม่สมควรได้รับ" ว่าแล้วเธอเก็บเงินใส่กระเป๋า เตรียมลากกระเป๋าจากไป

"โชคดีนะคุณ" ลีนวัตรร้องบอกพร้อมกับสตาร์ตเครื่องทีเดียวติด มาลินีชะงักกึก เพิ่งค้นพบบางอย่าง หันขวับกลับมา

"นี่นายหลอกฉันนี่ เครื่องไม่ได้เสียซะหน่อย"

"น้ำมันมันแพง ต้องช่วยกันประหยัด"

ลีนวัตรยิ้มร่าขับเรือออกไป มาลินีเต้นเป็นเจ้าเข้าด้วยความเจ็บใจ


ooooooo


ภายในสตูดิโอถ่ายแฟชั่นนิตยสารชื่อดังอันดับต้นๆของเมืองไทย...มาลินี นางแบบสาวสวย กำลังถูกช่างแต่งหน้าทำผมมะรุมมะตุ้มแข่งกับเวลา เสร็จแล้วมาลินีในชุดแฟชั่นก็เตรียมโพสท่า แต่ประดิษฐ์ แฟนหนุ่มของมาลินีที่ยืนอยู่มุมหนึ่งมองมาอย่างรำคาญลูกตา
"ชุดบ้าอะไรวะ ไม่เห็นสวยเลย" เสียงประดิษฐ์สำรากออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร มาลินีชะงักแทบสะอึก ขณะที่สไตลิสต์หันขวับไปตอบโต้ประดิษฐ์อย่างเหลืออด
" นี่คุณดิ๊ก หลายหนแล้วนะคะ คุณเป็นใครไม่ทราบ เจ้าของหนังสือก็ไม่ใช่ เจ้าของเสื้อผ้าก็ไม่ใช่ แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาวิพากษ์วิจารณ์งานของฉัน"
"ก็มันไม่สวยจริงๆนี่หว่า เสื้อผ้าอย่างนี้ขืนใส่ออกมาเดินถนนหมาเห่าตาย"
"มันเป็นแฟชั่นเข้าใจไหมคะ แฟชั่นน่ะ"
"แต่มันทำให้แฟนผมดูไม่ดี"
มาลินีพยายามจะปรามแฟนหนุ่มแต่ไม่เป็นผล สองคนทุ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดง
"แต่ฉันเป็นสไตลิสต์ คนที่จะตัดสินงานชิ้นนี้คือฉัน"
"งานห่วยๆ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละจะแต่งตัวแบบนี้"
"คุณออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลยนะ ความจริงคุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาด้วยซ้ำ"
"ถ้างั้นก็เลิกถ่าย....กลับ...มาลินี"
ทุกคนอ้าปากค้างกับคำบัญชาของประดิษฐ์ มาลินีเกรงใจสไตลิสต์ รีบไกล่เกลี่ย
"ใจเย็นๆนะคะพี่บ๊วย...เดี๋ยวมาจัดการเองค่ะ" ว่าแล้วมาลินีเข้าต้อนประดิษฐ์ออกไป ประดิษฐ์ท่าทางฮึดฮัดขัดใจเป็นที่สุด...
" โอ๊ย...ถ้าฉันติดคุกใครจะไปประกันตัวฉันบ้างเนี่ย" พี่บ๊วยแผดเสียงไล่หลัง ช่างผมเลยสงสัยว่าพี่บ๊วยจะทำอะไร "ฉันจะบีบคอผู้ชายคนนี้ให้ตายคามือน่ะสิ"
พาออกมาหน้าสตูดิโอแล้ว ประดิษฐ์ยังไม่เลิกปากเสีย จนมาลินีอ่อนใจ
"เสื้อผ้าห่วยๆแบบนี้ไปเป็นแบบให้มัน...เกรดเราตกเปล่าๆ ไป...กลับ"
"ดิ๊กกลับไปก่อนนะคะ"
"หมายความว่ายังไง"
"มาจะกลับเข้าไปทำงานให้เสร็จก่อนค่ะ"
"จะบ้าเหรอ มีสมองรึเปล่าเนี่ย"
"มันเป็นงานของมานะคะ ยังไงมาก็ต้องรับผิดชอบให้เสร็จให้ได้"
"นี่คุณตั้งใจจะฉีกหน้าผมใช่ไหม"
"ดิ๊กคะ เสื้อผ้ายุคนี้มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นเทรนด์ อย่าไปคิดอะไรมากสิคะ ถ่ายอีกไม่กี่เซตก็จะเสร็จแล้ว"
"คิดซะอย่างนี้น่ะสิ ค่าตัวถึงไม่ขยับไปไหนซะที"
"ถ้าดิ๊กไม่ชอบ ดิ๊กก็รออยู่ข้างนอกนี่ก็ได้นะคะ"
"นี่คุณไล่ผมอีกคนใช่ไหม"
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ"
"ได้...โอเค งั้นก็หาทางกลับเอาเองแล้วกัน ตัวใครตัวมัน เสียเวลาทำมาหากิน"
ประดิษฐ์ หัวเสียเดินลิ่วไปขึ้นรถ มาลินียืนละล้าละลังจะตามออกไปก็ไม่ได้...มาลินีกลับเข้าไปข้างใน เห็นพี่บ๊วยยืนหน้าหงิกเท้าสะเอวคอย จึงรีบขอโทษพี่บ๊วยและทุกคน
"เอาไปล่ามโซ่ไว้ที่ไหนล่ะ เอาตะกร้อใส่ปากไว้ด้วยรึเปล่า"
"ดิ๊กเขาก็เป็นอย่างนี้เอง พี่บ๊วยอย่าไปถือสาเขาเลยนะคะ"
"ฉันละไม่เข้าใจจริงจริ๊ง หล่อนก็ออกจะทั้งสวยทั้งเก๋ ทำไมถึงได้ยอมเป็นเบี้ยล่างผู้ชายห่วยๆอย่างนายคนนี้ด้วย มีอะไรดีอยากรู้นัก"
มาลินียิ้มเจื่อน พี่บ๊วยเซ็งจัดถอนใจดังเฮือก ก่อนร้องบอกทีมงานให้ทำงานกันต่อ
oooooooo
บ่าย วันเดียวกัน ลีนวัตร...หรือผู้ใหญ่ลีของชาวบ้าน กำลังจัดดอกไม้อยู่ในศาลาวัดซึ่งตั้งศพคุณนายวันผู้มีพระคุณของเขาและครอบ ครัวมาตลอด...ผู้ใหญ่ลีอาศัยอยู่กับแม่ปุยและลูกชายอีกคนชื่อปื๊ด
แม่ปุยหอบใบไม้ดอกไม้เข้ามาสมทบ พลางก็ถามลูกชายว่าดอกไม้พอไหม ไม่พอจะได้ให้เด็กๆไปช่วยกันหามาอีก
"น่าจะพอจ้ะแม่ เอาเท่านี้ก่อน"
ทันใด มีเสียงร้องไห้ดังโฮขึ้นมา สองแม่ลูกสะดุ้งเล็กน้อย หันมองปื๊ดที่นั่งอยู่มุมนึงถัดไป
"ปื๊ด...ร้องไห้ทำไม" ลีนวัตรถาม
"หนูคิดถึงคุณนายวันนี่พ่อ"
"หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ คุณนายวันสั่งเอาไว้ว่ายังไงจำได้ไหม"
"จำได้สิพ่อ คุณนายวันสั่งว่างานศพแกห้ามใครร้องไห้ ถ้าใครร้องแกจะมาหา"
"เออ...แล้วเอ็งก็ยังร้องอีก ไม่กลัวท่านมาหารึไง" แม่ปุยดุ
"หนูไม่กลัวหรอกแม่ คุณนายวันใจดี ถึงเป็นผีก็คงไม่ได้เป็นผีหน้าเละหรอก หนูจะกลัวทำไม"
"ไปๆ เอ็งไปช่วยพวกข้างล่างเขาดีกว่า ทำตัวให้มีประโยชน์ ไม่ใช่มานั่งขี้แงอยู่ยังงี้"
ปื๊ดเช็ดน้ำมูกแล้วคลานออกไป ลีนวัตรมองตามส่ายหน้า พอหันกลับมาที่แม่ปุย ได้ยินเสียงกระซิกๆ แล้วกลายเป็นปล่อยโฮออกมา
"อ้าวแม่...แม่นี่ก็อีกคน เดี๋ยวคนอื่นมันก็เอาอย่างหรอก"
"ไม่มีใครเห็น ช่างหัวมัน คุณนายแกเป็นคนดี ไม่ใช่ญาติแต่ก็เป็นยิ่งกว่าญาติ แล้วจะไม่ให้แม่เสียใจได้ยังไง"
"งั้นคืนนี้คุณนายวันก็คงมาหาแม่ให้หายคิดถึงแน่ๆ"
แม่ปุยสะอึกระงับน้ำตาได้ทันที เมื่อเหลือบไปมองรูปคุณนายวัน
" แต่แม่ว่าไม่มาจะดีกว่า...แม่จะไม่ร้องแล้ว ไม่อยากให้คุณนายวันแกมีกังวล" แม่ปุยเช็ดน้ำตาป้อยๆ ลีนวัตรถอนใจ หันมองรูปคุณนายวันแล้วอดนึกถึงอดีตไม่ได้...
วันนั้น ลีนวัตรเดินตามหลังคุณนายวันไปบนคันนา คุณนายวันมองท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยต้นข้าวด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ
" ถึงฉันจะต้องตายวันนี้ ฉันก็ไม่เสียดายแล้วล่ะผู้ใหญ่... ผู้ใหญ่ดูสิ ทุ่งนาที่เจ้าของเคยทิ้งขว้างมีแต่หญ้า มีแต่กกขึ้นรก วันนี้กลับมาสวยงามด้วยต้นข้าวแล้ว ก่อนนี้ฉันเคยปลงซะแล้วว่าชาวนาจะไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก เป็นพลเมืองชั้นล่างของประเทศทั้งตาปีตาชาติ แต่วันนี้ใครๆก็ต้องเห็นค่าของชาวนา เห็นค่าของข้าวแต่ละเม็ดว่ามันแลกมาด้วยหยาดเหงื่อความทุกข์ยากขนาดไหน... ฝากด้วยนะผู้ใหญ่ คนอย่างผู้ใหญ่นี่แหละที่จะเป็นอนาคตของชาวนาไทย"
คุณ นายวันโอบไหล่ลีนวัตรอย่างภาคภูมิใจ...นึกถึงแล้วลีนวัตรน้ำตาร่วงอย่างยาก จะฝืน พอแม่ปุยขยับเข้ามาใกล้ ลีนวัตรแอบป้ายน้ำตาทิ้ง แต่แม่ปุยก็ยังอุตส่าห์เห็นจนได้
"ว่าแต่แม่...ผู้ใหญ่เองก็ขัดคำสั่งคุณนายวันเหมือนกัน"
" ฉันพยายามแล้วแม่ แต่ก็อดคิดถึงแกไม่ได้ คิดถึงคุณงามความดีของแกที่ทำให้พวกเรา จะหาใครที่หัวใจแกร่งกล้าอย่างคุณนายวันแกคงไม่ได้อีกแล้ว"
"อืม...เราต้องทำบุญไปให้แกมากๆนะลูก"
"จ้ะแม่ แล้วก็สานต่อความคิดของแกด้วย แกจะได้ภูมิใจว่าความทุ่มเทของแกไม่สูญเปล่า"
"แล้วสมบัติพัสถานที่นาของแก ผู้ใหญ่จะจัดการยังไง"
"แกสั่งเสียเอาไว้ให้ติดต่อหลานสาวคนเดียวของแกจ้ะแม่"
"สมบัติไม่ใช่น้อยๆ เป็นผู้หญิงยิงเรือด้วย จะจัดการยังไง"
"เราแค่ช่วยดูแลเฉยๆ เขาจะจัดการยังไงก็ต้องแล้วแต่ เขาละจ้ะแม่"
แม่ปุยไม่ออกความเห็นอะไรอีก ได้แต่พยักหน้ารับรู้
oooooooo

ใน สตูดิโอ ทีมงานเก็บข้าวของเคลียร์ทุกอย่าง ขณะที่มาลินีก็ล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเธอกำลังโทร.ตามประดิษฐ์ให้มารับกลับ แต่คำตอบที่ได้จากประดิษฐ์กลับทำให้มาลินีแอบสะอึก
"ผมไม่กลับไปให้อีตุ๊ดปากจัดนั่นมันมาด่าผมหรอก คุณเรียกแท็กซี่กลับไปเองก็แล้วกัน"
พี่บ๊วยที่ยืนมองอยู่ห่างๆเหมือนรู้แกว เดินเตร่เข้ามาเหล่มองมาลินี
"แล้วตอนนี้คุณอยู่ไหน จะกลับบ้านรึเปล่าคะ" เสียงมาลินีถามไปอีก
"อารมณ์ดีขึ้นเมื่อไหร่ผมจะกลับไปเอง" ประดิษฐ์ตอบเสร็จก็ตัดสายทันที
พี่บ๊วยเห็นมาลินีหน้าเจื่อนๆ อดปากไม่ได้อีกตามเคย
"กลับยังไงยะ"
"คงต้องเรียกแท็กซี่ค่ะ พอดีดิ๊กเขาติดธุระ"
"รถนั่นมันก็รถหล่อนไม่ใช่เหรอยะ แล้วธุระอะไรมันจะสำคัญจนมารับหล่อนไม่ได้"
"มาบอกดิ๊กเขาเองค่ะว่าไม่ต้องมา มันไกล เปลืองน้ำมันเปล่าๆ"
"หล่อนนี่ความอดทนเป็นเลิศจริงๆ ทนเข้าไปได้ผู้ชายแบบนี้"
มาลินี ยิ้มแห้งๆ ปล่อยพี่บ๊วยแกว่าของแกไป แต่ถึงยังไงมาลินีก็รักประดิษฐ์ และพร้อมจะออกรับแทนเขาทุกอย่าง...ขนาดเขาไม่ยอมมารับกลับ มาลินีก็ยังอุตส่าห์แวะไปซื้ออาหารหรูหราราคาแพง อีกทั้งผลไม้เมืองนอกที่หากินไม่ได้ง่ายๆ กลับมาเตรียมไว้รอประเคนเขา

ค่ำแล้ว อาหารและผลไม้ถูกจัดขึ้นโต๊ะภายในห้องพักหรูกลางเมืองของมาลินี แต่ประดิษฐ์ก็ยังไม่โผล่หัว...มาลินีนั่งใจลอยฆ่าเวลาด้วยการดูทีวี แต่ก็ดูเหมือนข่าวอาชญากรรมหั่นศพในจอโหดยังไงก็ไม่สามารถเรียกความสนใจเธอ ได้ เธอดูนาฬิกาเป็นระยะ จนดึกจึงปิดทีวี คิดว่าเขาคงไม่กลับมาแน่แล้ว
ขณะเดียวกันนั้น ที่บ้านผู้ใหญ่ลีแสงไฟสว่างวอมแวม ลีนวัตรกำลังนั่งเขียนจดหมายถึงหลานสาวของคุณนายวันอย่างตั้งอกตั้งใจ
" เรียนคุณมาลินีที่นับถือ...ผมมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนให้คุณ ทราบว่า คุณยายวันของคุณได้หมดบุญสิ้นใจเสียแล้ว ขณะนี้ศพได้ตั้งรอไว้ที่วัดใกล้บ้าน รอให้คุณซึ่งเป็นหลานคนเดียวของท่านมาจัดการตามประเพณี กรุณารีบมาเพราะคุณยายของคุณท่านได้สั่งเสียเอาไว้ให้ตั้งศพของท่านเพียงสาม วันเท่านั้น เพราะท่านว่าเปลือง...ด้วยความนับถือ ผู้ใหญ่ลี"
ลีนวัตรจบจดหมายอย่างสั้นกระชับแต่ได้ใจความครบ แล้วอ่านทวนอีกครั้ง ระหว่างนี้แม่ปุยเข้ามานั่งชันเข่าข้างๆลูกชาย
"เบอร์มือถือเขาไม่มีเรอะ กว่าจดหมายจะไปถึงแม่ว่าเลยสามวันตั้งศพคุณนายวันแหงๆ"
"ไม่มีหรอกแม่ คุณนายวันมีแต่ที่อยู่ทางจดหมายนี่แหละ ไม่เป็นไรหรอกหนูจะส่งด้วยอีเอ็มเอส วันเดียวอาจจะถึง"
"ตัวจริงๆเขาจะเหมือนที่เราเห็นในทีวีรึเปล่าก็ไม่รู้นะผู้ใหญ่"
"แม่อย่าไปคาดหวังอะไรให้มันมากไปนักเลย เขาเป็นคนกรุงเทพฯ เป็นคนสมัยใหม่ คงไม่ติดดินเหมือนคุณนายวันหรอก"
"นั่นสินะ แม่ก็ว่ายังงั้น เพราะถ้าเขาได้เลือดคุณนายวันไปบ้าง เขาก็น่าจะโผล่มาเยี่ยมเยียนให้เห็นหน้าค่าตากันบ้าง"
"ก็บ้านนอกมันไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าตื่นเต้นเหมือนกรุงเทพฯนี่แม่ มีแต่ท้องนากับคนจน อ้อ แล้วก็ควายด้วย เขาก็คงเหม็นสาบเขาแหละ"
พูด คุยกับแม่อีกครู่หนึ่ง ลีนวัตรก็ขอตัวกลับเข้าห้องนอน เขานั่งมองรูปตัวเองในวันรับปริญญาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มีทั้งแม่และน้องสาวสองคนยืนขนาบข้างยิ้มแย้มมีความสุขเต็มที่ แต่อีกคนที่เขาจะลืมไม่ได้ก็คือคุณนายวัน ผู้ซึ่งทำให้เขามีวันนี้ได้ เพราะขณะที่เขาเข้าเรียนมัธยม แม่ปุยก็ทำท่าจะให้เขาเรียนแค่มัธยม 3 แม่ปุยแกว่าเรียนไปก็เสียเวลาเปล่าๆ จบออกมาก็ต้องกลับมาทำนาอยู่ดี ไม่ได้ไปเป็นเจ้าคนนายคนกับเขาหรอก...วันนั้นคุณนายวันเลยติติงแม่ของเขาซะ ยกใหญ่
"แม่ปุยไม่ได้กำลังดูถูกการศึกษาอย่างเดียว แม่ปุยกำลังดูถูกลูกตัวเองด้วย ทำไมแม่ปุยไม่คิดว่าลูกมันจบออกมาแล้ว มันจะได้เอาวิชาความรู้กลับมาพัฒนาบ้านเรา โลกมันเปลี่ยนไปเยอะแล้ว แล้วทำไมเราจะยังย่ำอยู่กับที่ล่ะ"
"แต่ถ้าไอ้หมามันเรียนต่อ น้องมันสองคนก็ต้องเลิกเรียน เอาแค่ ม.3 พอ อิฉันไม่มีเงินจะส่งเรียนหรอกจ้ะ"
"ลี...ฉันถามตรงๆ ใจเราอยากจะเรียนต่อรึเปล่า"
"อยากครับ ผมอยากเรียนเกษตร"
"ดี...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา ไปตั้งใจดูหนังสือสอบเข้าให้ได้ เรื่องเงินฉันจัดการเอง แม่ปุยไม่ต้องเป็นห่วง"
นึกถึงวันนั้นแล้ว ลีนวัตรยิ้มเศร้ากับความทรงจำอันแสนดี ชีวิตครึ่งนึงของเขาถูกหล่อหลอมมาจากน้ำใจของคุณนายวัน
แต่ คนที่แทบไม่เคยรับรู้ในความเมตตากรุณาของคุณนายวันกลับกลายเป็นมาลินี หลานสาวคนเดียวที่เคยอยู่ด้วยกันตอนเล็กๆแค่ช่วงหนึ่ง พอเข้ากรุงเทพฯก็ไม่เคยเหยียบย่างมาที่นี่อีกเลย...
มาลินีสะดุ้งตื่นจาก โซฟาที่เผลอหลับ ขณะรอการ กลับมาของประดิษฐ์ เธอได้ยินเสียงเปิดประตู พอเห็นประดิษฐ์ เดินหน้ายุ่งเข้ามา มาลินีดีใจยิ้มหน้าบาน ฉอเลาะเอาอกเอาใจก่อนจะนำอาหารบนโต๊ะไปใส่ไมโครเวฟให้ใหม่ พอเขากินเสร็จเธอก็จัดแจงล้างถ้วยจาน ประดิษฐ์ตามมากอดนัวเนีย
"อุ๊ย อย่าค่ะดิ๊ก มามือเปื้อน"
" ก็ใครใช้ให้ล้างจานตอนนี้ล่ะ พรุ่งนี้แม่บ้านมันมาทำความสะอาดก็ให้มันทำก็ได้ ไม่งั้นเราจะจ้างมันทำไม" ประดิษฐ์ ใช่แต่จะปากเสีย นิสัยยังแย่ชอบพูดจาดูถูกคนเป็นว่าเล่น
มาลินี ทั้งรักทั้งหลงประดิษฐ์จนมองข้ามความไม่ดีของเขาซะหมด เธอบำรุงบำเรอเงินทองที่หามาได้ให้เขาด้วยความเต็มใจ อย่างคืนนี้ประดิษฐ์ก็อ้อนขอยืมเงินสามสี่หมื่นที่เธอเพิ่งได้จากการถ่าย แฟชั่นมาหยกๆ บอกว่าจะเอาไปซื้อนาฬิกาข้อมือรุ่นใหม่...

ooooooo

เช้า ตรู่ ลีนวัตรออกจากบ้านตัวเองไปที่บ้านคุณนายวัน เพื่อเอาข้าวเปลือกหว่านให้ไก่ที่คุณนายวันเลี้ยงไว้กินไข่ ถ้าวันไหนได้ไข่มากคุณนายวันก็เอื้อ-เฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันให้เด็กๆที่ โรงเรียน โดยลีนวัตรจะเป็นคนจัดการให้ด้วยความเต็มใจ
ความมีน้ำใจของ คุณนายวันนี่เอง ทำให้ลีนวัตรอดนึกถึงมาลินีไม่ได้ ในวัยเด็กที่ทั้งเธอและเขาเคยเจอกันที่บ้านคุณนายวัน เด็กหญิงมาลินีร้องไห้กระจองอแงร่ำร้องอยากกลับบ้าน เธอหาว่าคุณยายใจร้าย เป็นแม่มด พาเธอมาขังไว้ที่นี่ เด็กชายลีนวัตรเดินมาหยุดยืนมอง แล้วเอาพุทธาในกระเป๋ากางเกงส่งให้เด็กหญิงมาลินีกิน ทีแรกเธอบอกไม่อร่อย แต่พอกินไปกินมาติดใจ ขอเพิ่มอีกหลายลูก...
ลีนวัตรขึ้นมาบนบ้านคุณนาย วัน ยืนมองรูปถ่ายของมาลินีตอนเข้าวงการนางแบบใหม่ๆ หน้าตาท่าทางเธอยังดูเด๋อด๋าไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ลีนวัตรก็มองรูปนั้นด้วยรอยยิ้ม
"พ่อ...พ่อ" เสียงเรียกของปื๊ดทำให้ลีนวัตรที่กำลังเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปมองปื๊ดยืนอยู่ตรงประตู "พ่อจะมาบ้านคุณนาย ไม่รอหนูด้วย"
"เอ็งตื่นสายเองนี่หว่า ใครเขาจะไปรอเอ็ง คนนอนกินบ้านกินเมืองน่ะไม่เจริญหรอกนะโว้ย"
"สวยนะพ่อ"
"อะไรของเอ็ง อยู่ๆมาบอกพ่อสวย"
"หนูไม่ได้บอกพ่อสวย หนูพูดถึงหลานคุณนายวันต่างหาก ถ้าหนูจะมีแฟนหนูจะหาสวยๆยังงี้แหละพ่อ"
"ทะลึ่งแล้วไอ้นี่...ทะลึ่ง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไปเอาไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว มากวาดแล้วก็ถูเรือนให้เรี่ยม"
"ทำไมต้องกวาดต้องถูด้วยล่ะพ่อ คุณนายวันก็ไม่อยู่แล้ว"
"คุณนายวันมีพระคุณกับพวกเรามากนะปื๊ด เราต้องช่วยกันดูแลบ้านช่องสมบัติทุกอย่างของท่านไว้ให้เหมือนกับตอนที่ท่านยังอยู่กับเรา"
"จ้ะพ่อ"
"แล้วอีกอย่าง หลานสาวคุณนายท่านน่าจะมาถึงวันนี้แหละ พ่อส่งจดหมายไปตั้งแต่วันก่อนแล้ว"
"เย้..." ปื๊ดดิ้นสุดฤทธิ์ดีใจออกหน้าออกตา บอกพ่อว่า หนูอยากเห็นดาราเต็มแก่แล้ว
"น้อยๆหน่อย น้อยๆหน่อย อย่าแก่แดดแก่ลมให้มันมากนัก กวาดเรือนถูเรือนไป พ่อจะไปให้ข้าวหมูก่อน"
ปื๊ดรับคำเสียงแจ๋ว แล้ววิ่งไปหยิบไม้กวาดจัดการตามพ่อสั่งอย่างว่องไว

ooooooo

จดหมาย ของลีนวัตรส่งถึงที่พักของมาลินีแล้วก็จริง แต่มาลินียังไม่ได้หยิบมันขึ้นห้อง เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องถ่ายแฟชั่นถ่ายโฆษณา...วันนี้มาลินีไปถ่ายโฆษณากลาง แจ้งที่สวนสาธารณะ พอถึงช่วงพักมาลินีรีบโทร.ไปหาประดิษฐ์ ตั้งใจจะให้เขามารับกลับ แต่กลายเป็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเสียงงัวเงียรับโทรศัพท์แทน เพราะประดิษฐ์ยังหลับอุตุอยู่ข้างๆเจ้าหล่อนในโรงแรมม่านรูด
มาลินีได้ ยินเสียงผู้หญิงก็ตกใจ ถามหาดิ๊ก หญิงสาวจึงบอกให้รอเดี๋ยว แล้วหันมาเขย่าตัวเรียกประดิษฐ์ สงสัยว่าเมียพี่โทร.มา ประดิษฐ์กลับสะบัดหนีอย่างรำคาญ แถมโวยว่าตนไม่มีเมีย...มาลินีได้ยินชัดเจน อึ้งหน้าชา ส่วนหญิงสาวรีบกรอกเสียงมาว่าโทร.ผิดแล้ว มาลินีจึงขอโทษแล้ววางสายด้วยมืออันสั่นเทา
จู่ๆประดิษฐ์ที่นอนงัวเงียก็ ลุกพรวดขึ้นเหมือนนึกอะไรได้ เขาหยิบโทรศัพท์มากดดูเบอร์ที่เพิ่งโทร.เข้า พอเห็นเป็นเบอร์ของมาลินี ประดิษฐ์จึงตวาดดุคู่นอนว่าใครใช้ให้รับ
"ก็มันดัง...หนูรำคาญ"
ประดิษฐ์ อยากจะบ้าตาย เตรียมคิดหาวิธีแก้ตัวกับมาลินี...ขณะเดียวกัน มาลินีเสียใจจนทำงานต่อแทบไม่ได้ น้ำตามันจะเอ่ออยู่เรื่อย เธอแข็งใจทำจนเสร็จ พอเสียงผู้กำกับสั่งคัต มาลินีก็ปล่อยโฮน้ำตาร่วงพรูเป็นเผาเต่า
จากนั้นเธอโทร.นัดวลัยกับสมร สองเพื่อนสนิทไปเจอกันที่ร้านอาหาร แล้วปรึกษาเรื่องแฟนหนุ่มว่าเธอควรจะทำยังไงดี แต่เพื่อนสองคนกลับมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน วลัยฟันธงว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้ ท่าทางหลุกหลิกยังกับอะไรดี อย่างนี้ต้องเลิกสถานเดียว ขณะที่สมรบอกว่าเรื่องอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่มาลินีคิดก็ได้ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นญาติพี่น้องของเขา มาลินีน่าจะได้คุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อน
"ฉันจะบอกให้นะ ผู้ชายน่ะจริตมารยามันมากกว่าผู้หญิงซะอีก เชื่ออะไรไม่ได้แล้ว คนใจอ่อนอย่างหล่อนน่ะมีแต่จะกลายเป็นเหยื่อ" วลัยโพล่งขึ้นมา
"แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เรายุให้เขาเลิกกัน มันเป็นบาปนะวลัย" สมรท้วง
" โอ๊ยแม่คนธรรมะธัมโม ตั้งแต่เกิดมาหล่อนรู้จักผู้ชายกี่คนกันยะ ถามหน่อย ถ้าหล่อนไม่อยากเจ็บไปกว่านี้ หล่อนต้องเชื่อฉันยายมา...เลิก!"
"แต่...แต่ฉันยังรักเขาอยู่นะวลัย"
วลัยอ้าปากค้างพูดไม่ออก ได้แต่มองมาลินีเช็ดน้ำตา
ป้อยๆ

ตกค่ำ ประดิษฐ์หอบดอกไม้ช่อใหญ่มานั่งรอมาลินีอยู่ที่ล็อบบี้คอนโดฯ พอเห็นเธอก้าวเข้ามา ประดิษฐ์รีบถลาไปหา ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มาลินียังงอนไม่ค่อยอยากพูดด้วย พอเธอหนีเข้าลิฟต์ เขาก็สวมวิญญาณพระเอกวิ่งเข้ามาทั้งที่ลิฟต์กำลังจะปิด เลยโดนลิฟต์หนีบมือร้องโอดโอยราวกับเจ็บปวดนักหนา เท่านี้มาลินีก็หายงอนเป“นปลิดทิ้ง กลายเป็นอาทรร้อนใจกับความจะเป“นจะตายของแฟนหนุ่ม
มาลินีเก็บจดหมายหลาย ซองขึ้นมาที่ห้อง แต่ทำมันหล่นพื้นเกลื่อนกลาดเพราะต้องคอยประคองประดิษฐ์ แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจจดหมายเหล่านั้น เพราะถูกประดิษฐ์นัวเนียออดอ้อน แต่มาลินีไม่ลืมซักถามเรื่องผู้หญิงที่รับโทรศัพท์ ประดิษฐ์บอกว่าเป“นเพื่อน แล้วทำหัวเราะกลบเกลื่อนที่มาลินีหึงแม้กระทั่งเพื่อนของเขา
"แค่เพื่อนจริงๆเหรอคะ"
"จริง ก็มาน่ารักอย่างนี้ ดิ๊กจะมีใครได้นอกจากมาคนเดียว" เขาปากหวาน แถมหอมแก้มเธออีกหนึ่งฟอด เท่านี้มาลินีก็แทบละลาย
คุย ไปคุยมา ประดิษฐ์ถามถึงเช็คค่าจ้างที่มาลินีถ่ายโฆษณาวันนี้ ทำเป“นหวังดีจะเอาไปเข้าธนาคารให้ พอมาลินีบอกว่าเช็คยังไม่ออก ดิวเดือนนึง ประดิษฐ์ก็อารมณ์เสียทันที
"เดือนนึง...อะไร ยังงี้มันเอาเปรียบกันนี่หว่า"
"ปกติที่ไหนก็เป“นอย่างนี้ทั้งนั้น"
" มาโกหกผมมากกว่า มาไม่ไว้ใจผมใช่ไหมล่ะ" มาลินีอ้าปากค้าง "อยู่ดีๆ ก็มาสร้างเรื่องผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ บอกมาตามตรงเลยว่ามาเบื่อผมแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องอื่นขึ้นมาอ้าง คนเรารักจะอยู่ด้วยกันมันต้องไว้ใจกัน ไม่ใช่มาสงสัยเรื่องปัญญาอ่อนอะไรก็ไม่รู้"
"ดิ๊ก..."
"ได้...ในเมื่อมาคิดว่าดิ๊กเอาเปรียบโกหกหลอกลวงมา เราก็เลิกกัน ดิ๊กจะเป“นฝ่ายไปเอง"
ประดิษฐ์ ทำผลุนผลันหัวเสียออกไปจากห้องทันที มาลินีอื้ออึง ทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างไม่คาดคิด เธอควรจะเป“นฝ่ายตะโกนใส่หน้าเขา แต่เขากลับเล่นเกมนี้กับเธอเสียเอง...
หลังจากนั้นไม่นาน มาลินีก็มานั่งสะอึกสะอื้นอยู่ต่อหน้าสมรถึงบ้าน วลัยเพิ่งตามมาทีหลัง นึกว่ามาลินีถูกประดิษฐ์ทำร้าย จึงโวยวายให้เอาเรื่อง
"นี่มันลงไม้ลงมือกับหล่อนใช่ไหม แจ้งความ ต้องไปแจ้งความ"
"ดิ๊กเขาไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก ฉันต่างหากเป็นฝ่ายทำร้ายจิตใจเขา"
วลัยชะงักร้องอ้าว แล้วให้มาลินีหยุดร้องไห้ ก่อนที่ตาจะช้ำเป็นหมีแพนด้าจนถ่ายแบบเดินแบบไม่ได้...มาลินีซับน้ำตาพยายามกลั้นสะอื้น
"ความรักมันทำให้คนเราเจ็บปวดอย่างนี้เอง" สมรรำพึง
" ฉันพยายามแล้ว อุตส่าห์ถนอมน้ำใจเขา แต่ฉันมันโง่เอง ปากไม่ดี อะไรๆมันกำลังจะไปได้ดีอยู่แล้วเชียว ดิ๊กเขาก็เลย...ก็เลยเป็นฝ่ายบอกเลิกฉัน"
"งั้นก็ดีสิ...ปล่อยมันไป ผู้ชายในโลกนี้มีอีกตั้งเยอะแยะ จะมัวมานั่งเสียน้ำตาให้มันทำไม เสียศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง"
"แต่เขาอุตส่าห์รักกันมาตั้งสี่ห้าปีแล้วนะวลัย" สมรทักท้วง
"ปีเดียวก็นานเกินไปแล้ว รักกับผู้ชายห่วยๆอย่างนายประดิษฐ์เนี่ย"
"ฉันมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง บอกฉันมาตรงๆเลย สมร วลัย ฉันจะได้ปรับปรุงตัวเอง"
"แกน่ะดีพร้อมสวยเก๋ เป็นคนเดียวที่เชิดหน้าชูตากลุ่มของเราได้" สมรชื่นชมเพื่อนอย่างจริงใจ
"แต่ฉันก็ไม่ดีพอ ดิ๊กเขาถึงได้เบื่อ ถึงขนาดกล้าบอกเลิกกับฉัน"
" ฉันรู้แล้วละว่าแกมีข้อเสียตรงไหนยายมา แกใจอ่อนกับผู้ชายคนนี้เกินไป แกยอมมันทุกอย่างมันก็เลยต้องเป็นอย่างนี้ไง" วลัยพูดอย่างมีอารมณ์
"แล้วฉันควรจะปรับปรุงตัวเองยังไงดี"
"ไม่ต้องปรับปรุงอะไรเลย เลิกก็เลิก ร้องไชโยอย่างเดียว แล้วชี้หน้ามัน บอกมันไปเลยว่าอย่ากลับมาอีกนะไอ้หมาดิ๊ก"
" ฉันว่ามันรุนแรงเกินไปนะวลัย" สมรท้วงอย่างรับไม่ได้ แต่สาวห้าวอย่างวลัยไม่สน ย้ำถามมาลินีว่าอยากพ้นทุกข์ไหม ถ้าอยากก็ต้องทำอย่างที่เธอพูด
"แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ถ้าไม่มีเขา..." สิ้นเสียงโอดก่าเหว่าของแม่เพื่อนรัก วลัยอยากจะกรี๊ดให้โลกแตก...

ooooooo

บทความที่ใหม่กว่า หน้าแรก

Blogger Template by Blogcrowds