วันหยุดฉลวยอยากไปเที่ยวกรุงเทพฯ ซึ่งช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสเหมาะ เพราะลีนวัตรต้องไปอยู่วัดเพื่อเตรียมตัวบวช แต่พอฉลวยบอกกับแม่ปุย ฉลวยก็ถูกคัดค้าน เพราะแม่ปุยต้องการให้ฉลวยอยู่ช่วยกันเตรียมงานบวชลีนวัตรที่กำลังจะจัดขึ้น
ฉลวย ขัดใจเดินเซ็งออกจากบ้านไปเจอประดิษฐ์ที่กำลังเซ็งมาเหมือนกัน ด้วยเรื่องที่เขาได้ปทุมเป็นเมียอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อประดิษฐ์รู้ว่าฉลวยอยากไปกรุงเทพฯ เขารีบอาสาพาฉลวยไปเปิดหูเปิดตา อวดตัวว่าเขารู้จักกรุงเทพฯทุกซอกทุกมุม ฉลวยดีใจมาก รับปากมั่นเหมาะว่าพรุ่งนี้เช้าจะออกเดินทางไปกับประดิษฐ์ ครั้นตกกลางคืนฉลวยก็แอบจิ๊กเงินแม่ปุยมาไม่น้อยเพื่อไว้ใช้จ่ายขณะไป กรุงเทพฯ
เมื่อฉลวยได้ไปเห็นบรรยากาศในเมืองหลวง ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างรอบตัว ประดิษฐ์พาฉลวยช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า แต่ฉลวยต้องควักเงินจ่ายทั้งของตัวเองและของประดิษฐ์ จากนั้นประดิษฐ์ก็พาฉลวยเที่ยวต่ออีกจนเย็น ก่อนจะพาฉลวยกลับคลองหมาหอน
ขณะฉลวยหิ้วถุงข้าวของเต็มสองมือเข้าบ้านมาในตอนค่ำ ต้องชะงักไปนิดที่เห็นแม่ปุย เฉลา กับปื๊ดนั่งหน้าสลอนคอยการกลับมาของเธออยู่
"นังหลวย เอ็งหายไปไหนมาทั้งวัน ใครต่อใครเขาพากัน เป็นห่วง จนข้าจะไปแจ้งความอยู่แล้ว"
"ก็หนูบอกแม่แล้วไงว่าหนูจะไปกรุงเทพฯ"
แม่ ปุยหน้าไม่ดี เสียใจที่ลูกไม่เชื่อฟัง ขณะที่เฉลาก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าฉลวยจะกล้าถึงขนาดนี้ แต่ปื๊ดกลับพูด ประสาเด็ก ต่อว่าพี่หลวยไปกรุงเทพฯไม่บอกกันมั่ง ปื๊ดจะได้ไปด้วย
"ไอ้ ปื๊ด..." แม่ปุยปรามเสียงขุ่น "นังหลวย แกชักจะ เอาใหญ่แล้วนะ พี่ผู้ใหญ่เขาไม่อยู่บ้านวันเดียวแกไม่เกรงใจกันเลย หรือแกคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรแก"
"โธ่ แม่ก็...อย่าซีเรียสน่า นะๆ เรื่องแค่นี้เอง ฉันก็กลับมาแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเลย"
"ชักจะเก่งใหญ่แล้วนะเอ็ง" แม่ปุยหน้าคว่ำ
"น่า แม่...ใจดีๆ พรุ่งนี้วันดีของพี่ลีเขา อย่าโมโห เดี๋ยวจะเสียฤกษ์นะจ๊ะ แม่คนสวยของหลวย" ฉลวยอ้อนประจบสุดฤทธิ์ แต่แม่ปุยก็ยังหน้าตูมอยู่ดี
ooooooo
เช้า รุ่งขึ้น พิธีอุปสมบทของลีนวัตรดำเนินไปอย่าง เรียบง่ายและสนุกสนาน ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มอิ่มบุญ โดยเฉพาะแม่ปุยถึงกับน้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้มตื้นตัน ขณะที่ขบวนแห่นาควนรอบโบสถ์ ปทุมกับผู้ใหญ่โหมดก็วิ่งผ่าเข้ามาแทรกกลาง จนหลายคนตกอก ตกใจ
"ขอโทษทีมาสายไปหน่อยแม่ปุย แต่มาสายก็ยังดีกว่า ไม่มาใช่ไหมล่ะ" ผู้ใหญ่โหมดปั้นยิ้มใส่แม่ปุย ก่อนหันมาที่ลูกสาว "ทุมเอ๊ย ไปช่วยถือของให้นาคสิลูก"
ไม่ทันขาดคำของพ่อ ปทุมตรงเข้าไปแย่งหมอนจากมือมาลินีทันที พินไม่พอใจ ปราดเข้ามาจะแย่งหมอนคืน แต่ มาลินีชิงปรามพินเสียก่อน
"ช่างเขาเถอะพิน เขาอยากถือก็ให้เขาถือไป"
"ให้ มันรู้ซะมั่ง คนที่จะเป็นเมียเท่านั้นแหละ เขาถึงจะให้ถือหมอนให้นาค คนอื่นไม่มีสิทธิ์ย่ะ" ปทุมลอยหน้าเยาะเย้ยมาลินี พินเห็นแล้วฮึ่มๆ อยากจะตบซะกลางงานจริงๆ
"ไม่เอาน่าพิน นี่งานมงคลนะ เดี๋ยวก็ไม่ได้บุญหรอก"
พิน ขัดใจแต่ก็ต้องข่มอารมณ์เอาไว้ตามคำเตือนของมาลินี ส่วนนาคลีนวัตรไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เพราะมัวตั้งจิตตั้งใจให้เป็นสมาธิ...หลังจากผ่านขั้นตอนจนครบถ้วนแล้ว ลีนวัตรก็อยู่ในผ้าเหลืองอย่างสมบูรณ์ มาลินีมองพระอย่างปีติชื่นชม ขณะที่ปทุมดี๊ด๊าเสนอหน้ายิ้มไม่มีสำรวม แม่ปุยขยับเข้ามาใกล้ แล้วก้มลงกราบพระลูกชาย ไม่วายน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจ พอมาลินีจะขยับเข้ามากราบ ปทุมก็ชิงตัดหน้า กราบพระกระชด กระช้อย พร้อมกับจีบปากสนทนา
"หลวงพี่อยากฉันอะไร หลวงพี่จดรายการอาหารมาก็ได้นะจ๊ะ ทุมจะเอามาถวายทุกวันเลย"
"ท่าน เป็นพระแล้วนะยะ จะมาถามท่านว่าอยากฉันอะไรได้ไง ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย" พินว่าให้อย่างหมั่นไส้ ปทุม ไม่พอใจสะบัดหน้าใส่พิน
"พระลูกเขยราศีดีจริงๆ ฝันเห็นเลขสวยๆ ก็กระซิบบอกกันบ้างนะท่าน"
"อาตมาบวชเพื่อศึกษาพระธรรม โยม...เรื่องอื่นอาตมาไม่คิด"
ผู้ใหญ่โหมดชะงัก แล้วรีบแก้เก้อ "แหม...มันก็ต้องมี โบนัสกันบ้างละ...แค่พรรษาเดียว ทุมเอ๊ย เอ็งคอยท่านหน่อยก็แล้วกันนะลูกนะ"
"เอ๊ะ พี่โหมดนี่พูดยังไง คู่หมั้นพระก็นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ" แม่ปุยปรามอย่างไม่พอใจ
"โลก นี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกแม่ปุย จริงไหมล่ะท่าน" ผู้ใหญ่โหมดหัวเราะหึๆในคอ พระลีนวัตรอึดอัดใจแต่ข่ม เหลือบมองมาลินีอย่างไม่สามารถมองได้เต็มตา สักครู่ก็ลุกเดินตามขบวนพระอื่นๆออกจากโบสถ์ มาลินีได้แต่มองชายจีวร ที่ผ่านหน้าไป ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ
ooooooo
ขณะเดินออกจากวัด เพื่อกลับบ้าน แม่ปุยแย้มยิ้มตลอดเวลา เหว่ากับเฉลาก็หยอกล้อกันอย่างมีความสุข หนำซ้ำทั้งคู่ยังแหย่แม่ปุยจนหัวเราะขำไปด้วยกัน มาลินี มองความสุขของคนในครอบครัวนี้แล้วสบายใจ พอแม่ปุยเอ่ยถึงปทุมขึ้นมา บอกมาลินีอย่าไปถือสาปทุมเลย
"หนูไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ หนูว่าหนูเข้าใจเขาดีนะคะ"
"ดีแล้วล่ะ เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้น อีกหน่อยก็คงจะห่างๆไปเอง"
มาลินียิ้มรับ ครั้นเธอกลับมาถึงบ้าน ก็พบประดิษฐ์นั่งหน้าบอกบุญไม่รับรอเธออยู่
"ท่าทางเหมือนไม่ต้องกินข้าวไปได้อีกหลายวันเลยนี่นะ อิ่มบุญมากรึไงครับมา"
"ก็คงทำนองนั้นแหละค่ะ"
"อย่าหาว่าดิ๊กแช่งเลยนะ ดิ๊กมีความรู้สึกว่ามาไม่มีวัน ได้แต่งงานกับไอ้..."
"พูดให้ดีๆนะดิ๊ก ตอนนี้ผู้ใหญ่ลีบวชเป็นพระอยู่นะ"
"ก็ พูดกันตามตรง ดิ๊กว่ามายังไม่ได้รู้จักมัน เอ๊ย เขาดีพอเลย เขาอาจจะมีอะไรที่ปกปิดมาไว้ก็ได้ ผู้ชายน่ะนะมา หาที่มันเพอร์เฟกต์น่ะไม่มีหรอก...ยาก"
"ขอบใจนะที่ช่วยเตือนสติฉัน แต่ชีวิตของฉัน ฉันว่าฉันจัดการเองได้ ดูตัวคุณเองก่อนเถอะ แทนที่จะมามัวปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆอย่างนี้ คุณควรจะหาอะไรทำที่มีประโยชน์ ดีกว่า พาตัวเองให้รอดซะก่อนดีกว่าจะมานั่งอยู่ในบ้านของ คนอื่นเขาเฉยๆแบบนี้"
ประดิษฐ์เจ็บจี๊ดที่ถูกมาลินีออกปากไล่ แต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไล่หลังเธอไป
เย็นนั้น ทองใบวนเวียนมาง้อพินถึงในครัว แต่พินยัง ใจแข็งเหมือนเดิม พินด่าทองใบทันทีเมื่อได้ยินทองใบบอกว่า อยากจะบวชกับเขาบ้าง
"คิดจะบวชหนีหนี้เรอะ ฝันไปเหอะ"
"ไม่ได้จะหนีหนี้ แต่บวชจะได้เบียดกับแม่พินต่างหาก แม่พินไม่คิดจะเห็นใจฉันบ้างเหรอ ฉันกะจะบวชซักพรรษานึง"
"วัน เดียวคนอย่างเอ็งก็ทำศาสนาเสื่อมแล้ว ไปเลิกเหล้า เลิกยาให้ได้ซะก่อนเหอะ อย่าเอาศาสนามาอ้างให้ตัวเองดูดีเลยไอ้ทองใบ ไปให้พ้นเถอะ เกะกะขวางทาง ข้าจะทำงาน" ทองใบทำตาปริบๆ ไม่ยอมขยับ พินเลยฮึ่มใส่ "ยังอีก เดี๋ยวแม่สาดด้วยน้ำนี่ซะเลยนี่"
"แม่พินอยากสาดก็สาดเถอะจ้ะ ถ้ามันเป็นความสุขของแม่พิน"
ขาดคำ พินสาดน้ำในกะละมังใส่ทองใบทันที "แหม มีความสุขจริงๆ" ว่าแล้วพินก็เดินหัวเราะจากไป ทองใบเปียกทั้งตัว ยืนตาปรอย ผิดหวัง...
ooooooo
ใน ช่วงที่ลีนวัตรบวช เหว่าได้ขึ้นมานอนบนเรือน ตามคำสั่งของพระ เหว่าจึงมีโอกาสใกล้ชิดเฉลามากขึ้น เฉลาเองก็ถือโอกาสนี้ติวเข้มการเรียน กศน.ให้เหว่าไปในตัวด้วย
แม่ปุยใส่บาตรพระลีนวัตรทุกเช้า เช่นเดียวกับมาลินีที่เตรียมอาหารตั้งแต่ไก่โห่ทุกวัน โดยมีพินคอยดูแลช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ แถมบางวันพินก็มีแซวๆพระกับมาลินีบ้างเหมือนกัน ระยะนี้จึงถือเป็นช่วงที่ทุกคนมีความสุขสดชื่น
แต่คนที่กำลังทุกข์ใจก็คือปทุม...ปทุมตกใจเมื่อได้ยินพ่อบอกว่าจะสึกพระด้วยคลิปลับ แฉกันให้เห็นจะจะไปเลย
"คลิป? แฉ? แฉอะไร" ปทุมงุนงง เพราะไม่เคยรู้ มาก่อน
"อุวะ คลิปลับเขาไม่ได้ถ่ายกันแค่เอาไปขายคลองถม อย่างเดียวโว้ย เขาเอาไว้แฉกันด้วย"
"พ่อพูดอะไรหนูไม่เข้าใจ คลิปอะไร"
"ก็คลิปเอ็งตอนสวีตหวานแหววกับผู้ใหญ่ลีน่ะสิวะ" ปทุมหน้าซีดเผือด "เอ็งไม่ต้องอายไปหรอก มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้ชายผู้หญิง"
"พ่อ...หนูว่า...อย่าเพิ่งใช้วิธีนี้เลย"
"ทำไมวะ นี่มันไม้ตายเราเลยนะโว้ย"
"มัน บาปนะพ่อ แล้วอีกอย่างหนูว่าเรายังมีวิธีทำให้พระกับยัยหน้าลิงนั่นเลิกกันได้เนียนๆ หนูเป็นนางเอกนะพ่อ พ่อจะให้หนูไปสึกพระ ใครต่อใครเขาก็จะพากันประณามว่าหนูเป็นนางอิจฉาเปล่าๆ จริงไหมล่ะพ่อ"
"เออ...ก็จริงของเอ็งว่ะ แล้วเอ็งมีแผนอะไรดีๆ ไหนว่ามาซิ"
"คุณ ดิ๊กเขากำลังจัดการอยู่" ปทุมตอบส่งเดชเอาตัวรอด...ทั้งที่ความจริงประดิษฐ์ยังไม่ได้คิดอ่านทำอะไร เลย นอกจากเรื่องของตัวเอง ประดิษฐ์นัดฉลวยออกมาพบ แล้วชักชวนเข้ากรุงเทพฯ โดยเอาเรื่องวงการบันเทิงที่ฉลวยชื่นชอบมาเป็นตัวล่อ ฉลวยก็เหมือนวัยรุ่นที่อยากลิ้มอยากลอง ยิ่งพอ ประดิษฐ์บอกว่าฉลวยสวยคม มีสิทธิ์ได้งานในวงการ ถ้ายอมไปพร้อมกับเขาเพื่อพบโมเดลลิ่ง ฉลวยจึงไม่อิดออดเลยสักนิด

ตกค่ำ ขณะฉลวยเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง เฉลาเข้ามาเห็น ถามน้องว่าจะไปไหน ฉลวยบอกตามตรงว่าจะเข้ากรุงเทพฯสักพัก เฉลาไม่เห็นด้วย ซักฉลวยแทบไม่หายใจ ฉลวยหาว่าเฉลาจู้จี้ แม่ยังไม่ถามเยอะขนาดนี้
"นี่บอกแม่แล้วเหรอ"
"บอกแล้ว" ฉลวยโกหกได้เนียนมาก พอถูกพี่สาวถามว่าบอกหลวงพี่หรือยัง ฉลวยก็โบ้ยว่า เดี๋ยวแม่ก็ไปบอกเองแหละ
"จะทำอะไรก็คิดดูให้ดีๆนะ อย่าทำให้แม่ให้หลวงพี่ผิดหวัง พี่เตือนได้แค่นี้แหละ"
"แหม พี่เห็นฉันเป็นคนโง่รึยังไง ฉันรู้น่าว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันไปวันสองวันก็กลับแล้ว พี่ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ฉันดูแลตัวเองได้"


ooooooo

เช้าวันใหม่ มาลินีเดินออกมาหน้าบ้าน เห็นประดิษฐ์กำลังปิดฝากระโปรงหน้ารถ หลังจากตรวจเช็กเครื่องเตรียมขับทางไกล
"ฉันเป็นเจ้าของรถคันนี้แท้ๆ แทบไม่ได้ใช้มันเลย ถ้าคุณชอบมันจริงๆ ซื้อต่อไหมล่ะ ฉันจะขายให้"
"ทำไมดิ๊กต้องซื้อด้วยล่ะ ของมาก็เหมือนของดิ๊กน่ะแหละ ยังไงมาก็ต้องยกให้ดิ๊กอยู่แล้ว"
มาลินีพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าสมเพชผู้ชายคนนี้เสียจริง
"ดิ๊กจะเข้ากรุงเทพฯหลายวันหน่อย มาอยากได้อะไรไหม"
"จะซื้อมาฝากรึไงคะ"
"ก็งั้นสิ เสร็จงานนี้ดิ๊กคงได้เงินหลายหมื่น มาจะได้เลิกดูถูกดิ๊กซะทีว่าดีแต่เกาะมากิน"
"คิดได้ยังงั้นก็ดี คนเรามันต้องมีศักดิ์ศรีในตัวเองนะคะ"
"แล้ว มาจะได้เห็น" ประดิษฐ์หัวเสีย ขึ้นรถขับพรืดออกไป แล้วไปรับฉลวยยังจุดนัดที่ตลาด แต่เผอิญพินที่มาซื้อของเห็นทั้งคู่เข้าเต็มๆ พินรู้สึกไม่ชอบมาพากล พอกลับถึงบ้าน พินก็รีบบอกให้มาลินีรู้
ส่วนแม่ปุยก็เพิ่งรู้จากเฉลาว่า ฉลวยไปกรุงเทพฯ แม่ปุยถึงกับลมจับ นั่งดมยาหน้าซีดเซียว อีกครู่เดียว มาลินีกับพินก็รีบร้อนขึ้นเรือนมา พินเกือบหลุดปากบอกเรื่องที่เห็นฉลวยขึ้นรถไปกับประดิษฐ์ ถ้ามาลินีไม่สะกิดปรามเสียก่อน มาลินีบอกแม่ปุยว่าไม่ต้องกังวล เธอจะไปตามฉลวยกลับมาเอง เธอพอจะรู้ว่าฉลวยไปอยู่ที่ไหน แต่ขอร้องทุกคนอย่าบอกเรื่องนี้ กับพระลีนวัตร เดี๋ยวท่านจะไม่สบายใจ
ประดิษฐ์ พาฉลวยไปพบเพื่อนที่ทำหนังเรตอาร์ลงแผ่นซีดีขาย เป็นจังหวะที่ขาดนางเอกหนังพอดี ประดิษฐ์จึงคะยั้นคะยอหลอกให้ฉลวยเซ็นสัญญากับเพื่อนของตน จากนั้นก็พาไปเที่ยวเพื่อให้ฉลวยตายใจ ก่อนจะพากลับมาที่นี่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เพื่อถ่ายทำหนังลามกแลกเงินค่าตัวที่ประดิษฐ์คิดจะฮุบไว้เสียเอง


ด้าน มาลินี พอออกจากบ้านแม่ปุยมาแล้ว เธอก็รีบโทร.ติดต่อไปยังมือถือของประดิษฐ์ และสอบถามเขาอย่างรู้ทันว่าฉลวยอยู่กับเขา เธอจะขอคุยกับฉลวย แต่ประดิษฐ์ทำไก๋ ไม่รู้ไม่ชี้ ถามกลับมาว่า "มาไปเอาข่าวมาจากไหน"
"จะปฏิเสธยังไงฉันก็ไม่เชื่อคุณหรอก ฉันขอเตือนนะ อย่าคิดทำอะไรไม่ดีกับฉลวยเป็นอันขาด"
"ดิ๊กก็อยู่ของดิ๊กเฉยๆ เด็กมันแส่ของมันเอง แล้วมา คิดว่าจะให้ดิ๊กทำยังไง ดิ๊กเองก็ลำบากใจ"
ประดิษฐ์ กดตัดสายทิ้ง มาลินีขัดใจ ทั้งกลุ้มทั้งโกรธ แล้วรีบร้อนเดินทางเข้ากรุงเทพฯด้วยรถทัวร์ ขณะที่พวกแม่ปุย กับพินก็ต้องช่วยกันปิดพระลีนวัตร แต่แล้วปทุมก็มาทำให้ เสียเรื่องขณะนำของมาถวายเพลพระลีนวัตรที่วัด
"คู่หมั้นหลวงพี่เขาหนี ตามแฟนเก่าเข้ากรุงเทพฯ สงสัยว่าหลวงพี่หนีมาบวชยังงี้ เขาคงเหงาจิตก็เลยรีเทิร์นกับแฟนเก่าเขา น่ะสิจ๊ะ เขาคงคิดว่าหลวงพี่ไม่มีทางรู้หรอก เพราะมัวมานั่งจำศีลอยู่นี่ไง คนนี้ก็รัก คนโน้นก็ตัดไม่ขาด ผู้หญิงอาไร้ ใจคอโลเลสิ้นดี"
ขณะเดียวกันนั้น มาลินีนั่งกระวนกระวายอยู่ในรถแท็กซี่ พยายามโทร.ติดต่อประดิษฐ์อีกหลายครั้งกว่าเขาจะยอมรับสาย
"คุณประดิษฐ์ ฉันมารับฉลวยกลับบ้าน"
"มาเข้าใจอะไรผิดรึเปลาเนี่ย เขามาของเขาเอง ดิ๊กไม่ได้ ไปขู่บังคับให้เขามาซะหน่อยนะ"
"ถ้างั้นขอฉันคุยกับฉลวยหน่อย ฉันรู้ว่าฉลวยอยู่ใกล้ๆคุณ แถวนั้นแหละ"
"มา มองดิ๊กแง่ร้ายเกินไป เด็กมันออกไปเที่ยวไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่กับดิ๊กซะหน่อย เท่านี้นะครับ ดิ๊กกำลังยุ่ง" ประดิษฐ์ตัดสายทิ้งอีกตามเคย แล้วเดินกลับไปหาฉลวยที่เลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่อีกทาง
ข้างฝ่ายพระลีนวัตร ร้อนใจจนทนอยู่เฉยไม่ไหว มาพบแม่ปุยถึงบ้าน แต่ถามไปถามมาเรื่องมาลินีเดินทางเข้ากรุงเทพฯไปกับประดิษฐ์ ถึงได้รู้ความจริงจากเฉลาว่ามาลินีไปตามฉลวยกลับบ้านต่างหาก นั่นยิ่งทำให้พระลีนวัตรร้อนใจ ย้อนกลับมาที่วัด ขออนุญาตหลวงพ่อเข้ากรุงเทพฯ


"มันจะไม่เหมาะละมังท่าน ถ้าชาวบ้านชาวช่องเขารู้ว่าท่านเข้ากรุงเทพฯเพราะไปตามคู่หมั้นกลับบ้าน มันไม่ได้หรอก นะท่าน ยังไงมันก็ผิดวินัยสงฆ์ เรื่องทางโลกท่านไม่น่าไปข้องแวะ พระศาสนาจะมัวหมองเปล่าๆ ทำใจให้ว่างเข้าไว้ ยุบหนอ...พองหนอ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กัมมุนา วัฏฏีโลโก นะท่าน"
"หลวงพ่อครับ ที่ผมจะไปกรุงเทพฯ ผมไม่ได้จะไปตามคู่หมั้นครับ แต่ผมจะไปตามน้องสาวผมต่างหากครับ"
"อ้าว...ไหงเป็นยังงั้นไปได้ล่ะท่าน"
"น้อง สาวคนเล็กของผมหลงผิด หนีออกจากบ้าน โยมแม่ เป็นห่วงจนล้มเจ็บ ผมคงนิ่งดูดายอยู่เฉยไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ ยังไงก็ต้องไปตามน้องสาวกลับมา หลวงพ่อกรุณาอนุญาตผมด้วยเถอะครับ"
"ถ้าเข้าป่าเข้าดงก็คงไม่ยากหรอก แต่นี่ท่านจะธุดงค์ ป่าคอนกรีต...น่าหนักใจแทนท่านจริงๆ เพราะอาบัติมันพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่ว่าท่านจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ"
"ผมจะพยายามดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดที่สุดครับ ไอ้ปื๊ดก็ไปด้วย คงจะช่วยอะไรได้บ้างละครับหลวงพ่อ"
เมื่อ พร้อมแล้ว พระลีนวัตรกับปื๊ดก็ออกเดินทางกันทันที โดยจุดหมายอยู่ที่ห้างดังซึ่งมีโลโก้และสาขาอยู่ข้างถุงที่ฉลวยซื้อเสื้อผ้า ข้าวของกลับมาเมื่อครั้งที่แล้ว ส่วนมาลินี เธอกำลังไปสอบถามพนักงานของคอนโดฯที่ประดิษฐ์พัก แต่ก็คว้าน้ำเหลว พนักงานบอกว่าประดิษฐ์ไม่ได้กลับมานานแล้ว
ตกเย็น พระลีนวัตรกับปื๊ดก็ไปถึงห้างดังแห่งนั้น แต่ก็เหมือนมืดแปดด้าน เดินวนไปเวียนมาจนปื๊ดบ่นอุบ
"หลวงพ่อ ปื๊ดเมื่อย เดินจนขาจะหลุดอยู่แล้ว นั่งพักเหนื่อยก่อนได้ไหม"
"เดินแค่นี้ก็บ่นซะแล้ว อยู่บ้านเรา เห็นเอ็งวิ่งเล่นทั้งวัน ไม่บ่นซักคำ"
"ก็ มันไม่เหมือนกันนี่หลวงพ่อ เดินในกรุงเทพฯต้องคอยระวังคน ระวังรถ อากาศก็เหม็นควันรถ ปื๊ดเวียนหัวไปหมดแล้ว แล้วนี่จะไปตามหาพี่หลวยที่ไหน เดินไปเรื่อยๆอย่างนี้เหรอ หลวงพ่อ"
ในที่สุด พระลีนวัตรก็ต้องพาปื๊ดไปที่วัดแห่งหนึ่งใน ย่านนั้น ขณะที่มาลินีต้องกลับมาที่คอนโดฯของตน เพราะไม่รู้ จะไปตามประดิษฐ์ที่ไหนอีก แต่ไม่ทันจะค่ำ มาลินีก็ต้องตื่นตกใจ เมื่อปื๊ดใช้โทรศัพท์สาธารณะในวัดโทร.เข้ามาที่มือถือของเธอ...

เมื่อรู้ว่าพระลีนวัตรและปื๊ดเข้ามากรุงเทพฯ เช้าวันรุ่งขึ้นมาลินีจึงตามไปที่วัด โดยเตรียมอาหารไปใส่บาตร แล้วก็อยู่รอจนกระทั่งพระลีนวัตรกลับจากบิณฑบาตและฉันเช้าเสร็จ
"ท่านคะ...ฉันไม่สบายใจเลย พอรู้จากปื๊ดว่าท่านตามมากรุงเทพฯ"
"มีเรื่องอะไรทำให้ไม่สบายใจล่ะโยม"
"ท่านกำลังเข้าใจผิด ที่คิดว่าฉันเข้ามากรุงเทพฯกับคุณประดิษฐ์ค่ะ ฉันกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วจริงๆ"
"โยม มาลินี...โยมน่ะแหละเป็นฝ่ายเข้าใจผิด ทีแรกที่ได้ยินคนเขาพูดกันว่าโยมมากรุงเทพฯกับโยมประดิษฐ์ อาตมายอมรับว่าอาตมาก็แปลกใจ แล้วก็รู้สึกไม่ดีอยู่เหมือนกัน แต่ทุกอย่างย่อมมีเหตุและปัจจัย อาตมาถึงได้รู้ความจริงว่า โยมมีเจตนาดีที่จะเข้ามาช่วยตามโยมน้องสาวกลับบ้าน โยมทำใจให้สบายเถอะ ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก"
"เรื่องพี่หลวยน่ากังวลกว่าเยอะเลยจ้า" ปื๊ดเสริมขึ้นมา
"ฉันแน่ใจว่าฉลวยต้องอยู่กับนายประดิษฐ์แน่นอนค่ะ เมื่อวานฉันตามไปดูถึงที่พักเขาแล้ว แต่ก็ไม่เจอตัว แถมยังปิดโทรศัพท์หนีอีกด้วย"
"โยมประดิษฐ์เขาคงไม่คิดร้ายกับน้องสาวอาตมาหรอกละมั้ง"
มาลินี สีหน้าลำบากใจ เพราะรู้สันดานประดิษฐ์ดี แต่ไม่อยากพูดให้พระไม่สบายใจ ปื๊ดถามแม่มาว่า เราจะไปตามหาพี่หลวยกันได้ที่ไหน มาลินีบอกว่า เดี๋ยวแม่มาจะกลับไปดูประดิษฐ์ที่คอนโดฯอีกครั้ง...ปื๊ดจะขอไปด้วย แต่มาลินีบอกให้ปื๊ดอยู่ดูแลหลวงพ่อที่นี่ดีกว่า เรื่องฉลวยแม่มาจัดการเอง ยังไงแม่มาก็ต้องหาตัวฉลวยให้เจอแล้วพากลับบ้านเรา
เวลาเดียวกันนั้น ประดิษฐ์พาฉลวยเข้ามาในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งผู้กำกับและทีมงานกำลังตระเตรียมการถ่ายหนัง ฉลวยแต่งตัวสวยหรูดูดี ฉีกยิ้มเป็นปลื้มที่จะได้เป็นนางเอกหนัง แต่พอรู้ว่าเขาจะถ่ายหนังโป๊ และฉลวยก็ต้องถอดเสื้อผ้าด้วย ฉลวยถึงกับปล่อยโฮไม่ยอมเล่น พร้อมกับยกมือไหว้ขอร้องทุกคนปลกๆ แต่ไอ้ตัวเจ้าของหนังที่เป็นเพื่อนกับประดิษฐ์ก็ไม่ยอมเหมือนกัน เอาสัญญาที่ฉลวยเซ็นไว้เมื่อวานมาข่มขู่ ประดิษฐ์เลยต้องดึงฉลวยที่เอาแต่ร้องไห้ออกไปคุยอีกห้อง
ประดิษฐ์พยายามกล่อมฉลวยต่างๆนานา แต่ฉลวยก็ไม่เอาด้วย ร่ำร้องอยากกลับบ้านท่าเดียว
"ทำยังงั้นไม่ได้หรอกครับ ขืนเบี้ยวเขา เขาปรับเงินเป็นล้านๆเลย แถมยังอาจจะต้องติดคุกด้วย"
"พวกคุณหลอกให้หลวยเซ็นชื่อ"
"แหม กล่าวหากันยังงี้มันไม่แรงไปหน่อยเหรอ หลอกอะไรกัน ก็คุณเองอยากเป็นดารา ผมช่วยให้คุณสมหวัง แล้วยังจะไม่รู้จักบุญคุณอีก เอาน่า กลั้นใจถ่ายๆไปเถอะ แป๊บเดียวก็เสร็จ จะได้รับทรัพย์ งานสบายๆแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะคุณหลวย นี่เขาคิดค่าตัวคุณให้เท่านางเอกดังๆเลยนะ ตั้งพันห้า ภาษีก็ไม่ต้องหัก ถ้าอายนักก็หลับตาก็ได้ ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก ผมให้เวลาทำใจห้านาที เดี๋ยวเจอกัน"
ประดิษฐ์ลุกออกไปทันที ฉลวยสะอึกสะอื้นหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ พลันฉลวยก็เหลือบเห็นโทรศัพท์มือถือ ของประดิษฐ์ที่วางลืมไว้ ฉลวยรีบกดไล่เบอร์ดูจนพบเบอร์ ของมาลินี แล้วกดโทร.ออกทันที...มาลินีแปลกใจที่เห็นเบอร์โทร.ของประดิษฐ์ แต่พอกดรับกลายเป็นเสียงฉลวยร้องขอความช่วยเหลือ
อีกครู่ ประดิษฐ์นึกได้ว่าลืมโทรศัพท์มือถือจึงกลับ เข้ามาหยิบมันไป โดยไม่เอะใจอะไรเลย...เมื่อได้เวลาฉลวยต้องเข้าฉาก ซึ่งพระเอกนอนเปลือยอกรออยู่แล้ว ฉลวยร้องไห้แทบเป็นแทบตายก็ไม่มีใครเห็นใจสงสาร ทันใดนั้นเอง มาลินีก็วิ่งพรวดเข้ามาพร้อมปื๊ด
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ" มาลินีออกคำสั่ง ฉลวยในชุดเสื้อคลุม รีบวิ่งเข้ามาหามาลินีด้วยความดีใจ ส่วนประดิษฐ์ตกใจหน้าเสีย ขณะที่ผู้กำกับงุนงงถามมาลินีว่า นี่มันอะไรกัน?
"แฟนผมเองครับพี่แก่" ประดิษฐ์เอ่ยขึ้น
"ใครเป็นแฟนคุณ พูดให้ดีๆนะ ไปฉลวย ไปกับฉัน"
"จะ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เด็กนั่นยังทำงานไม่เสร็จ" ผู้กำกับประกาศ มาลินีโต้ทันทีว่า ทำเรื่องอุบาทว์เลวทรามแบบนี้ ยังมีหน้าเรียกว่างานอีกเหรอ "แต่น้องเขาเซ็นสัญญาไว้แล้ว ขืนมันไม่ยอมทำงานให้อั๊ว อั๊วจะเรียกตำรวจ"
"ฉันต่างหากที่ต้องเป็นคน เรียกตำรวจ พวกคุณมันทำมาหากินผิดกฎหมาย ผลิตสื่อลามก แถมยังล่อลวงกักขังหน่วงเหนียวเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะอีกด้วย รับรองได้ติดคุกหัวโตกันทั้งแก๊งแน่ ตำรวจกำลังมาด้วย ฉันเรียก 191 ไปแล้ว พวกคุณก็รู้ว่าตำรวจไทยฉับไวรับใช้ประชาชนขนาดไหน"
พวกกองถ่ายระส่ำระสาย เริ่มสยองขึ้นมาจริงๆ ประดิษฐ์จะโกยออกเป็นคนแรก อ้างกับเพื่อนว่าตนปวดท้องจะไปเข้าห้องน้ำ พูดจบก็วิ่งออกไปทันที แต่ต้องเบรกหัวทิ่ม เพราะพระลีนวัตรก้าวเข้ามาขวางหน้า
"จะรีบไปไหนล่ะโยม อยู่คุยกันก่อนสิ"
ประดิษฐ์หน้าซีด พวกทีมงานนึกว่าพระเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ รีบชี้แจงว่าพวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ถ่ายหนังกันเฉยๆ
"อาตมาเป็นพระจริงๆโยม ไม่ใช่ตำรวจ"
"อ้าว...ปัดโธ่" ผู้กำกับทำท่าฉุนๆ
"ต้องเป็นตำรวจเท่านั้นเหรอ โยมถึงจะกลัว อาตมาว่าสิ่งที่พวกโยมน่าจะกลัวมากกว่าอะไรทั้งนั้นก็คือบาปที่พวกโยมกำลังก่อขึ้นมามากกว่า"
"บาป เบิบอะไรกันหลวงพี่ พวกผมต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง งานของพวกผมมันสร้างความสุขชื่นมื่นให้ใครต่อใคร แล้วมันจะเป็นบาปได้ไง มันเป็นงานศิลปะนะหลวงพี่"
"ศิลปะต้องทำให้คนที่ได้เสพเกิดความสุข สงบเกิดสติปัญญา ไม่ใช่งานที่ยั่วยุให้เกิดอารมณ์ให้ต่ำอย่างที่พวกโยมกำลังทำกันอยู่ โยมอย่าเอาคำว่าศิลปะมาอ้างหน่อยเลย แล้วการที่พวกโยมล่อลวงข่มเหงจิตใจคนอื่นอย่างนี้ พวกโยมคิดว่ามันถูกต้องเหมาะสมแล้วงั้นเหรอ พวกโยมนึกถึงจิตใจคนอื่นเขาบ้างไหม"
"เขาอยากเป็นดาราเองนะครับหลวงพี่"
"โยมอย่า ปฏิเสธเลยว่า โยมไม่ได้หลอกลวงเขา บาปกรรมมีจริงนะโยม โยมลองคิดดูเถอะว่าถ้าเรื่องเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นกับญาติพี่น้องคนที่โยม รักบ้าง โยมจะรู้สึก
ยังไง...ยังไม่สายเกินไปหรอกนะโยม ถ้าจะกลับตัวกลับใจ คิดซะใหม่เถอะโยม ใช้ความรู้ความสามารถที่พวกโยมมีมาสร้างสรรค์ผลงานที่จะช่วยกันทำให้โลกนี้ น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม คิดแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะแซ่ซ้องสรรเสริญ พวกโยมคิดกันดูเถอะนะ ว่าอะไรคือความสุขแท้ ของชีวิตกันแน่"
ผู้กำกับและทีมงานซึ้งจิต สงบปากสงบคำลง ประดิษฐ์ ฉวยจังหวะนี้วิ่งหนีออกมาหน้าบ้าน เปิดประตูรถจะขึ้น แต่ยังไม่ทันจะปิดประตู มาลินีเอื้อมมือมาดึงกุญแจรถออกไป
"คิดจะหนีงั้นเหรอ"
"ดิ๊กไม่ได้ทำ อะไรผิด ทำไมดิ๊กต้องหนีด้วย ยัยหลวยมันคันขอตามดิ๊กมากรุงเทพฯเอง ช่วยไม่ได้ แล้วเรื่องเล่นหนัง นี่ดิ๊กก็ไม่เกี่ยว มันโง่ไปเซ็นสัญญาของมันเอง ไม่เชื่อก็ถามเด็กมันดูซิ"
"มาถึงขนาดนี้ แล้วยังกล้าพูดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดอีกเหรอ ลูกผู้ชายจริงๆเลยนะคุณ" มาลินีด่านิ่มๆ แล้วเดินกลับเข้าบ้านทันที ปรากฏว่าข้างในนั้น ทีมงานทั้งหมดนั่งพนมมือซาบซึ้งในรสพระธรรมของพระลีนวัตร ฉลวยเองก็ก้มกราบขอโทษหลวงพี่ที่ตัวเองทำให้ทุกคนพลอยลำบาก
"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรื่องแย่ๆที่มันเกิดขึ้น ก็ถือว่ามันเป็นบทเรียนสำหรับชีวิตก็แล้วกัน"
"หลวย คิดถึงแม่ หลวยอยากกลับบ้านเราที่สุดเลยจ้ะ" ฉลวยร้องไห้กระซิก มาลินีขยับมากอดปลอบฉลวย จากนั้นมาลินีก็พาพระลีนวัตร ปื๊ด และฉลวยกลับบ้านด้วยรถยนต์ ของเธอ
แม่ปุยดีใจ โล่งใจเมื่อเห็นฉลวยกลับมาอย่างปลอดภัย สองแม่ลูกกอดกันทั้งน้ำตา
"เอ็งไม่เป็นไรใช่ไหม แม่ใจคอไม่ดีเลยลูกเอ๊ย ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ แม่จะขาดใจตายรู้ไหม"
"หนู ขอโทษจ้ะแม่ หนูมันอวดดี ไม่ยอมฟังแม่ ไม่เชื่อหลวงพี่ หนูเสียใจ หนูจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว แม่ยกโทษให้หนูด้วยนะ" แม่ปุยพยักหน้ารับ และเช็ดน้ำตาให้ลูก "หนูรู้แล้วว่าไม่มีที่ไหนจะสุขสบายแล้วก็ปลอดภัยเท่าบ้านเราอีกแล้วจ้ะแม่"
พระลีนวัตรยิ้มพอใจที่น้องได้คิด ฝ่ายมาลินีก็โล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
"ขอบใจนะโยมที่ช่วยเป็นธุระให้ ถ้าไม่ได้โยม อาตมาก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องจะจบลงยังไง"
"ฉลวยก็เหมือนน้องสาวของฉันคนนึงค่ะท่าน ยังไง ฉันก็ต้องดูแลแกเต็มที่"
"กรุงเทพฯนี่มีแต่คนไม่ดีนะจ๊ะแม่มา"
"พูด อย่างนั้นก็ไม่ถูกหรอกนะจ๊ะปื๊ด ทุกที่มีทั้งคนดี คนเลวอยู่ปะปนกันทั้งนั้นแหละ มันอยู่ที่เราต่างหากที่ต้องรู้ให้เท่าทัน ต้องมีสติแยกให้ออกว่าอะไรดีอะไรเลว ใครควรคบหรือไม่ควรคบ ที่ไหนควรไปหรือไม่ควรไปมากกว่า"
"แล้วอย่างคุณประดิษฐ์นี่เป็นคนไม่ควรคบอีกต่อไปแล้วใช่ไหมจ๊ะแม่มา"
มาลินีรู้สึกโดนใจกับคำถามของปื๊ด พระลีนวัตรมองออก ปรามปื๊ดว่าถามอะไรอย่างนั้น โยมเขาจะอึดอัดใจ เปล่าๆ
"ไม่หรอกค่ะท่าน คนอย่างประดิษฐ์ฉันถือว่าเขาเป็นครูคนนึงของฉันค่ะ"
"เป็นครูได้ยังไงจ๊ะแม่มา คนนิสัยไม่ดียังงั้น" ปื๊ดท้วง
"ก็เขาได้ทำนิสัยไม่ดีให้เราได้เห็น ให้เราได้รู้ว่ามันน่ารังเกียจขนาดไหน เราจะได้ไม่ทำอย่างเขาไงจ๊ะปื๊ด"
"อ้อ ปื๊ดเข้าใจแล้วจ้า...หลวงพ่อยิ้มอะไรจ๊ะ"
"เป็นพระไม่ได้ห้ามยิ้มซะหน่อยนี่หว่า"
"แล้วเป็นพระพูดหว่าได้ด้วยเหรอจ๊ะ"
พระลีนวัตรเก้อเพราะจนมุมเจ้าปื๊ดเข้าแล้ว มาลินีเห็นภาพความน่ารักของทั้งคู่แล้วก็อดขำไม่ได้


ooooooo


หลัง จากผิดแผนจนได้เสียกับประดิษฐ์โดยที่พ่อไม่รู้ เช้าวันนี้ปทุมมีอาการโอ้กอ้ากจนพ่อตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนอาการคนท้อง จากนั้นก็พาลูกสาวไปตรวจให้แน่ใจ ซึ่งผลออกมาว่าปทุมท้องจริงๆ
ออกจาก โรงพยาบาล ผู้ใหญ่โหมดก็พาปทุมไปพบแม่ปุยที่บ้านพร้อมกับหลักฐานการตรวจจากหมอเพื่อ เป็นการยืนยันว่าปทุมท้องจริง แม่ปุยตกใจแทบช็อก ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่โหมดมาบอกจะเป็นความจริง ขณะที่ปทุมก็เอาแต่ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรสักคำ แถมยังก้มหน้า ก้มตาตลอดเวลา
มาลินีเองพอรู้ข่าวนี้ก็นิ่งอึ้งไปหลายนาที กว่าจะบอกกับพินได้ว่าไม่จริง ฉันไม่เชื่อ...
"โธ่ คุณ...คนเขารู้กันไปทั้งคลองหมาหอนแล้ว แม่ปุยน่ะน่าสงสาร เป็นลมหลายตลบ เพราะไอ้หน้าบากโหมดน่ะมันประกาศว่าเป็นตายยังไงมันก็ต้องสึกพระให้ออก มารับผิดชอบลูกสาวมันให้ได้วันนี้แหละค่ะ" มาลินีอื้ออึ้งพูดไม่ออก "ทีแรกพินก็ไม่เชื่อเหมือนกันนะคะคุณ แต่เขาว่าไอ้โหมดมันมีหลักฐาน ไม่ต้องรอตรวจดีเอ็นเอให้เสียเวลาหรอก โถ...พระคุณเจ้าของพิน นี่คงจะไปพลาดท่าอีนังบ้านั่นตั้งแต่ก่อนบวช...ไม่น่าเลย...อ้าว แล้วนั่นคุณมาจะไปไหนคะ"
"ฉันเองก็ต้องการรู้ความจริงเหมือนกัน"
"ความจริงจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเถอะค่ะคุณ คุณเป็นคู่หมั้นคู่หมายของท่าน แต่อีนังนั่นมันแค่ดอกไม้ริมทาง ไม่เห็นต้องไปสนใจมันเลย"
"พูด ยังงั้นมันก็ไม่ถูกหรอกนะพิน อะไรมันก็ไม่สำคัญเท่าความรับผิดชอบ ถ้าเขามีอะไรกันจนเด็กเกิดขึ้นมาแล้วยังงี้ ยังไงท่านก็ต้องรับผิดชอบ ชีวิตเด็กคนนึงสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้นนะพิน"
จากนั้นมาลินีรีบไปสมทบกับคน อื่นๆที่วัด ซึ่งกำลังรอดูหลักฐานสำคัญของผู้ใหญ่โหมดที่ต้องการจะสึกพระลีนวัตรเพื่อให้ มารับผิดชอบต่อปทุมและเด็กในท้อง แต่พอคลิปวีดิโอที่ทองใบเป็นคนถ่ายถูกเปิดเผยออกมาผ่านจอโทรทัศน์ ท่ามกลางสายตาผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ผู้ใหญ่โหมดและปทุมถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม รีบสั่งทองใบปิดเดี๋ยวนี้...แล้วครู่ต่อมา ประดิษฐ์ที่ยังอยู่กรุงเทพฯก็ได้รับการติดต่อจากมาลินีให้รีบเดินทางมา สุพรรณฯ ประดิษฐ์ หลงดีใจว่ามาลินีให้อภัย เข้าใจในตัวเขาแล้ว จึงแทบจะบินมาทันที แต่แล้วเมื่อมาถึงบ้านมาลินี ประดิษฐ์ก็เจอแข้งของผู้ใหญ่โหมดเข้าเต็มๆ ตามด้วยบาทาของสมุนผู้ใหญ่โหมดอีกชุด และถ้าปทุมไม่เข้าห้ามไว้ ประดิษฐ์อาจบาดเจ็บถึงขั้นคางเหลือง ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวัน
หลัง ชำระความกับลูกเขยที่ได้มาแบบไม่เต็มใจ... ผู้ใหญ่โหมดและปทุมก็พากันไปกราบขอโทษพระลีนวัตร พร้อมกันนี้ก็รับฟังท่านเทศน์ธรรมะดีๆ ทำให้ได้คิดกลับตัว กลับใจเป็นคนดีมีศีลธรรมกับเขาบ้าง
พินกับทองใบหวนกลับมาคืนดีกัน เพราะไม่ว่าพินจะตั้งเงื่อนไข หรือข้อแม้อะไรที่ทองใบต้องปรับปรุงตัวหลายอย่าง ทองใบก็รับได้หมด ขณะที่คู่ของเหว่ากับเฉลาก็ชื่นมื่นไม่แพ้ใคร เหว่าพากเพียรจนเรียนจบ กศน. แล้วยังคิดจะเรียนต่อปริญญาตรีเอาให้โก้เหมือนผู้ใหญ่ลี จากนั้นค่อยคิด เรื่องแต่งงานกับเฉลา...ส่วนฉลวยก็มุ่งมั่นไปสอบเข้ามหา-วิทยาลัยในจังหวัด เป็นผลสำเร็จ ยังความชื่นใจให้กับแม่ปุยนักหนา
ขณะที่ใครต่อใครเขามีความ สุข แต่คนที่กำลังทุกข์หนักก็คือประดิษฐ์ ประดิษฐ์ต้องรับผิดชอบปทุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมยังถูกสองพ่อลูกโขกสับใช้งานสารพัด ราวกับข้าทาสก็ไม่ปาน...


อยู่ มาวันหนึ่ง มาลินีใจคอไม่ดีเมื่อไม่เห็นพระลีนวัตรออกบิณฑบาต เพราะก่อนหน้านี้ได้ยินว่าท่านอาจจะออกธุดงค์กับหลวงพ่อ ครั้นมาลินีไปสอบถามจากพระลูกวัด และรู้ว่าหลวงพ่อท่านออกธุดงค์ไปแล้ว มาลินีรู้สึกใจแป้ว กลับออกมาด้วยความน้อยใจที่พระลีนวัตรไปโดยไม่บอกกล่าว
แต่ สิ่งที่มาลินีคิดนั้นผิดถนัด ลีนวัตรแอบสึกโดยไม่บอกเธอต่างหาก กระทั่งเธอเดินมาพบเขากลางทุ่งนาในสภาพของหุ่นไล่กา มาลินีหาว่าลีนวัตรเจ้าเล่ห์ ชอบแกล้งเธอนัก ลีนวัตรยิ้มกริ่ม ย้อนถามเธอว่า "ผมไปแกล้งอะไรคุณมาครับ"
"อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าแกล้งอีกเหรอ แล้วยังหลอกคนอื่นเขาอีกว่าออกธุดงค์ไปกับหลวงพ่อแล้ว"
"ไม่แกล้งแล้วผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าคุณมารักผมแค่ไหน"
"คนบ้า...พูดออกมาได้ไม่อายปาก"
"หลวงพ่อสึกให้ผมตั้งแต่เมื่อวานแล้วก่อนท่านออกธุดงค์ครับ"
เมื่อ ถูกเธอถามว่า ทำไมไม่ธุดงค์ตามหลวงพ่อไป ลีนวัตรก็ตอบยิ้มๆว่า หลวงพ่อท่านห้ามไว้ เพราะท่านรู้ว่าทิดลีนวัตรอยากแต่งเมียจนจะทนไม่ไหวแล้ว มาลินีเขินอาย แต่ก็ยอมให้เขารวบตัวมากอดโดยดี หลังจากนั้นไม่นานสองคน ก็แต่งงานสร้างครอบครัวใหม่ มาลินีใช้ชีวิตชาวนาด้วยความเต็มใจ และรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่ได้ลงมือทำนาเองทุกขั้นตอน โดยมีลีนวัตรเป็นผู้นำและอยู่เคียงข้างกันเสมอ
"ฉันภูมิใจจังเลย ทุกอย่างที่เห็นมันมาจากน้ำพักน้ำแรงของเราแท้ๆ ขอบคุณนะคะผู้ใหญ่ลี"
"ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับคุณมา"
"ฉัน ภูมิใจที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินผืนนี้ แล้วก็ภูมิใจที่สุดที่จะบอกใครต่อใครว่าฉันเป็นชาวนา เป็นคนทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เพื่อปลูกข้าวเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนทั้งโลกนี้ค่ะ"
"ผมก็ต้องขอบคุณคุณมาเหมือนกันครับ"
"ไม่ต้องพูดแล้ว พูดอยู่ทุกวัน ฟังจนเบื่อแล้วค่ะ"
"แต่ผมไม่เบื่อที่จะพูดนี่ครับ ว่าผมรักคุณมา...รักคุณมา...รักคุณมา..."
มาลินีหัวเราะสดใส...สองคนผัวเมียหยอกล้อกันไป ทำงานกันไปอย่างมีความสุข


อวสาน

พวกลีนวัตรและชาวบ้านใช้เวลาหลายวันในการลงแขกเกี่ยวข้าวกว่า จะมาถึงคิวสุดท้ายคือนาของมาลินี แต่ทุกคนก็ยังทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ พินเองก็ทำอาหารสุดฝีมือเลี้ยงทุกคน ขณะที่ทองใบยังคงป้วนเปี้ยนจะขอคืนดีกับพินให้ได้ แต่พินก็ไม่ใจอ่อน ทั้งด่าทั้งแช่งจนทองใบอับอายต้องเดินหนีออกไป
ขณะทุกคนพักกินข้าวกลาง วัน ปทุมก็เสนอหน้าเข้ามาพร้อมถุงเป็ดพะโล้ เข้ามานั่งแทรกระหว่างลีนวัตรกับมาลินี อวดตัวว่าเป็นแฟนลีนวัตร ซื้อของดีราคาแพงมาให้แฟนกิน มาลินีไม่ชอบใจแต่เก็บอาการ ลุกหนีไปอีกมุม ลีนวัตรมองออกจึงผละจากปทุมไปอีกคน ปทุมมองตามตาขวาง แล้วก็แทบคลั่ง เมื่อหันกลับมาเห็นเป็ดพะโล้เสร็จไอ้ปื๊ดเสียแล้ว
ผู้ใหญ่โหมดมากับปทุม ด้วย แต่แยกไปหาทองใบที่นั่งคอตกอยู่มุมหนึ่ง ทองใบเห็นเจ้าหนี้เข้าก็ยิ่งหน้าซีด รีบยกมือไหว้พินอบพิเทา "สวัสดีจ้ะ ผู้ใหญ่โหมด"
"เออ...เอ็งหลบหน้าหลบตาข้ามาเป็นเดือนแล้ว ดอกก็ไม่ส่ง ต้นก็ไม่คืน จะเอายังไงวะ"
ทอง ใบขอเวลาอีกนิดหนึ่ง รับรองไม่เบี้ยวผู้ใหญ่แน่ ผู้ใหญ่โหมดจึงยื่นคำขาดว่า ถ้าอาทิตย์หน้าไม่มีให้ก็จะยึดนา ทองใบโอดโอยขอความเห็นใจ ถ้ายึดนาแล้วตนจะเอาอะไรทำกิน
"เรื่องของเอ็ง"
"ฉันกราบละจ้ะ นึกซะว่าทำบุญทำทานลูกนกลูกกาตาดำๆ ผู้ใหญ่จะใช้งานฉันทำอะไร พอขัดหนี้ได้บ้างก็บอกแล้วเถอะจ้ะ อย่าเพิ่งยึดนาฉันเลย"
"ถุย หน้าอย่างเอ็งจะทำอะไรให้ข้าได้วะ"
"โธ่...ผู้ใหญ่ อย่าเพิ่งดูถูกกันสิ งานอะไรก็ได้ฉันพร้อมจะมอบกายถวายชีวิตให้ผู้ใหญ่นะจ๊ะ"
"มอบกายถวายชีวิตเลยเหรอวะไอ้ทองใบ"
ทองใบพยักหน้าหงึกหงัก ประจบประแจงสุดฤทธิ์ ผู้ใหญ่โหมดยิ้มกริ่มมีแผน
ooooooo
หลัง เสร็จสิ้นการเกี่ยวข้าว อยู่ดีๆลีนวัตรก็ไม่สบาย กินข้าวกินปลาไม่ค่อยลงจนแม่ปุยบ่นเป็นห่วง แต่แม่ปุยหารู้ไม่ว่ามันเป็นแผนบางอย่างของลีนวัตร ซึ่งงานนี้ปื๊ดก็สมรู้ร่วมคิดด้วย...เมื่อปื๊ดไปส่งข่าวมาลินีว่าพ่อของตน ไม่สบาย นอนซมหน้าซีด ข้าวปลาไม่ยอมกิน ตาลอยมองแต่จิ้งจกบนฝาบ้าน มาลินีอดตกใจไม่ได้
"ตายจริง แล้วไปหาหมอรึยัง"
"พ่อไม่ยอมไปจ้ะ ปื๊ดได้ยินพ่อบ่นๆคนเดียวว่าอยากตาย"
"อะไรกัน เป็นอะไรนักหนาถึงได้บ่นอย่างนั้น"
"พ่อคงทรมานมากน่ะจ้ะแม่มา"
"ฉันจะช่วยอะไรได้บ้างเนี่ย"
"แค่แม่มาโผล่ไปให้พ่อแกเห็นหน้า เอ๊ย แค่แม่มาไปเยี่ยมหน่อย พ่อแกก็คงจะดีขึ้นเองล่ะจ้ะ"
และ แล้วมาลินีก็ตามปื๊ดมาถึงบ้านด้วยอาการร้อนอกร้อนใจ เห็นลีนวัตรนอนหมดอาลัยตายอยาก มือก่ายหน้าผากราวกับคนทุกข์หนัก เธอสงสัยว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ ปื๊ดบอกว่าเป็นหลายอย่างจนน่าเป็นห่วง ลีนวัตรยอมรับว่าเป็นหลายอย่าง แต่อาการมันหลบอยู่ในหัวใจ และหมอคนไหนก็รักษาไม่หาย โรคนี้มีหมอผู้หญิงรักษาได้อยู่คนเดียว
ลี นวัตรพูดอ้อมค้อมอยู่นานจนได้เรื่อง เพราะมาลินีเกิดเข้าใจผิดคิดว่าหมอผู้หญิงที่ลีนวัตรพูดถึงคือปทุม เธอจึงลุกพรวดบอกลา และว่าจะไปตามหมอปทุมมาให้ ลีนวัตรถึงกับลนลานร้องเรียก แต่มาลินีงอนตุ๊บป่อง เดินลิ่วไปไม่ฟังเสียง
"โธ่...ไอ้ลี ไอ้บ้า ไอ้โง่ ท่าเยอะไปหน่อย อดเลย
เห็นไหมล่ะ" ลีนวัตรด่าตัวเองอย่างหงุดหงิด
พิน เห็นมาลินีกลับเร็วแท้ ทั้งที่บอกว่าไปเยี่ยมคนป่วย พอถามกันไปมา พินก็มั่นใจว่ามาลินีเข้าใจผิดอย่างแรง คนอย่างปทุมไม่มีทางทำให้ลีนวัตรเป็นอะไรแบบนี้แน่
"ผู้ใหญ่ลีนี่เชิงแกอ่อนซะจริงจริ๊ง ต้องให้อีพินติวเข้ม ให้ซะละมัง" พินบ่นงึมงำทันทีที่มาลินีคล้อยหลังออกไป...
เมื่อ แผนที่หนึ่งไม่ได้ผล ลีนวัตรจำเป็นต้องเริ่มแผนสอง...แม่ปุยตกอกตกใจ เมื่อจู่ๆลีนวัตรมาบอกว่าจะไปเรียนต่อปริญญาเอกที่เมืองนอกสักห้าหกปี
"โอย...ห้าหกปี ผู้ใหญ่จะทิ้งบ้านทิ้งนาไปได้ยังไง ไม่ สงสารแม่รึไง อย่าไปเลย"
"แต่หนูตัดสินใจแล้วนะจ๊ะแม่"
"ผู้ใหญ่ไม่สงสารแม่รึไง แม่แก่ขนาดนี้แล้ว จะให้ลงไปทำนาไหวยังไง"
"ไอ้เหว่ามันก็อยู่ มันคงเป็นเรี่ยวแรงให้แม่ได้อยู่หรอก"
"ยัง ไงมันก็ไม่เหมือนกัน อย่าไปเลยนะผู้ใหญ่ แม่ ขอร้อง ได้เป็นด็อกเตอร์มันก็ดี แต่ถ้าต้องทิ้งบ้านทิ้งนาไปตั้งหลายปียังงี้ แม่ว่าแม่ไม่เอาดีกว่า ผู้ใหญ่เป็นหลักของบ้าน ไม่อยู่ ซะคน น้องนุ่งมันจะอยู่กันยังไง แม่น่ะไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้ จะทุกข์หน่อยก็เพราะต้องทนคิดถึงลูกเป็นปีๆน่ะแหละ อย่าไปเลยนะผู้ใหญ่นะ"
"ถ้าแม่ไม่อยากให้หนูไป มันก็คงมีอยู่ทางเดียวแหละจ้ะ"
"ผู้ใหญ่จะให้แม่ทำอะไรยังไง บอกแม่มาเถอะ แม่จะทำให้ทุกอย่าง"
"แม่ช่วยไปขอเมียให้หนูหน่อยได้ไหมล่ะ"
"ขอเมีย?" แม่ปุยอุทาน แล้วค่อยๆแย้มยิ้มอย่างรู้ทันแผนของลูกชายตัวดี แต่ก็ยังทำเล่นตัว จนลีนวัตรต้องตามเซ้าซี้
"นะแม่นะ...แม่ทำเฉยยังงี้แปลว่าแม่อยากจะเสือกไสไล่ส่งหนูให้ไปไกลๆใช่ไหม"
"ตั้งแต่เกิดมานี่ผู้ใหญ่ไม่เคยมาตั้งข้อแม้กับแม่ยังงี้"
"แหม แม่...แล้วแม่ไม่อยากให้คุณมาเป็นลูกสะใภ้รึไง" แม่ปุยตอบทันทีว่าอยาก "งั้นแม่ก็ไปเป็นเถ้าแก่ให้หนูหน่อยสิ ไปเดี๋ยวนี้เลยนะแม่นะ"
"จะบ้ารึ ผู้ใหญ่ เรื่องแบบนี้มันเรื่องสำคัญนะ จะปุ๊บปั๊บไปเหมือนไปซื้อของที่ตลาดได้ยังไง มันต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมว่าจะไปพูดยังไง ทะเล่อทะล่าเข้าไปไม่ดูตาม้าตาเรือ เกิดคุณมาแกปฏิเสธขึ้นมาจะทำยังไง"
"ถ้าแม่ไปพูดคุณมาไม่ปฏิเสธหรอกจ้ะ"
"รู้ได้ยังไง"
"รู้ก็แล้วกัน"
"ผู้ใหญ่ นี่เอาแต่ได้ แม่ไม่คุยด้วยแล้ว" ลีนวัตรงอนหน้าม่อย แม่ปุยเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ "เอาไว้ให้แม่ไปขอฤกษ์ท่านก่อน ได้ฤกษ์แล้วค่อยว่ากัน"
"แม่ไม่ต้องไปขอหรอก หนูไปขอมาแล้ว ฤกษ์ดีที่สุดน่ะต้องเป็นวันนี้เท่านั้น"
"โม้..."
"โธ่แม่...ต่อให้ไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ต้องบอกเหมือนหนูนี่แหละ ฤกษ์ที่ดีที่สุดก็คือฤกษ์สะดวกไงแม่"
แม่ ปุยถอนใจ จนมุมลีนวัตรทุกประตู จากนั้นไม่นาน แม่ปุยก็แต่งตัวสวยเป็นพิเศษโผล่ไปที่บ้านมาลินีพร้อมกับลีนวัตร พินต้อนรับขับสู้สองแม่ลูก ก่อนจะร้องบอกมาลินีที่อยู่ในบ้านว่า แม่ปุยกับผู้ใหญ่ลีมาหา...มาลินีลงมานั่งตรงหน้าสองแม่ลูก แต่ยังวางท่าปึ่งใส่ลีนวัตรเล็กน้อย ไม่ทันที่แม่ปุยจะเริ่มต้นเจรจา ลีนวัตรก็ออกอาการประหม่าบิดไปบิดมา เกาแขนเกาขา จนพินสงสัยว่าเขาถูกยุงกัดหรือเห็บเกาะ
"คงทั้งยุงทั้งเห็บนั่นแหละ เป็นยังงี้มาตั้งแต่กลางวันแล้ว"
"แม่ น่ะ" ลีนวัตรงอนและอาย ลุกออกไปทันที ขณะที่ พินยังเสนอหน้า ทั้งที่แม่ปุยบอกว่ามีธุระสำคัญจะคุยกับมาลินี แถมพินยังคาดเดาด้วยว่าเรื่องสำคัญของแม่ปุยคงเป็นเลขเด็ดแน่ๆ
"แม่พินนี่เดาอะไรเก่งเหมือนกันนี่" แม่ปุยอ้อมแอ้มชม ทั้งในใจนึกด่า
"คืนก่อนฉันเพิ่งฝันดี เปิดตำราดูเขาว่าจะได้ลาภจากสัตว์สองเท้า ไม่คิดเล้ยว่าสัตว์สองเท้าจะเป็นแม่ปุยนี่เอง"
"แต่เขาว่าลาภอย่างนี้น่ะ เขาไม่ให้บอกกันตรงๆหรอก เดี๋ยวมันจะไม่ขลังไม่ใช่เหรอ"
"นั่นสิ งั้นฉันออกไปก่อนดีกว่านะ แม่ปุยจะเขียนฝากไว้ที่คุณมาก็ได้ ฉันจะทำเป็นไม่รู้เรื่องดีมั้ย"
แม่ ปุยพยักพเยิด พินเลยดี๊ด๊าออกไป ขณะเดียวกันนั้น ลีนวัตรชะเง้อคอยาวมองลุ้นเข้าไปในบ้าน ประดิษฐ์เดินมาจากทางบ้านพัก ลีนวัตรเห็นประดิษฐ์ก่อน จึงคว้าก้อนหินเขวี้ยงใส่หลังประดิษฐ์เพื่อไม่ให้เข้าไปขัดจังหวะการสู่ขอ มาลินี ประดิษฐ์ทั้งตกใจทั้งเจ็บ เหลียวมองรอบตัวแต่ไม่เห็นใครสักคน จึงโวยวายเสียงดัง พินเลยโผล่ออกมาถามว่าเอะอะอะไร
ประดิษฐ์ยืนยันว่าเขา ถูกเขวี้ยงด้วยก้อนหินที่กลางหลัง แต่พินมองสำรวจก็ไม่เจอใคร จึงนึกไปถึงผีคุณนายวัน ท่าทางจะเฮี้ยนเสียแล้ว เท่านั้นเองประดิษฐ์ก็เผ่นแน่บกลับบ้านพักไปเลย
ส่วนในบ้าน มาลินีเอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่เคยเขินอะไรเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย

"ป้าคนบ้านนอก จะให้พูดสละสลวยเหมือนคนกรุงเทพฯก็พูดไม่เป“นหรอกค่ะ ได้แต่พูดตรงๆอย่างนี้ คุณจะว่ายังไงคะ"
"ผู้ใหญ่ลีเขาวานให้ป้ามาช่วยพูดเหรอคะ ทำไมเขา ไม่มาพูดเองล่ะคะ"
"มัน เป“นธรรมเนียมนี่คะคุณ อันที่จริงป้าอยากพูดกับคุณยายของคุณด้วยซ้ำไป แต่ท่านก็ไม่อยู่ให้พูดด้วยเสียแล้ว ป้าก็เลยต้องพูดกับคุณตรงๆ ผู้ใหญ่น่ะเขาถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ แถมยังขู่ป้าด้วยว่าถ้าไม่ได้แต่งงานกับคุณ เขาจะไป เรียนต่อเมืองนอก ให้เป“นด็อกต้งด็อกเตอร์อะไรอีกตั้งห้าหกป• จะทิ้งแม่ทิ้งน้องทิ้งบ้านทิ้งนาเลยนะคะคุณ คิดดูก็แล้วกันว่าเตรียมตัวประชดชีวิตซะขนาดนี้ แปลว่าเขารักคุณขนาดไหน"
"คนบ้า...บ้าที่สุดเลย" มาลินีเอียงอายหน้าแดง
"ป้า มาพูดแทนลูกชายของป้าก็จริง แต่ลูกชายป้าเขาเป“นคนยังไงคุณก็คงเห็นแจ้งกับตากับใจคุณเองแล้ว คุณจะรับหรือจะปฏิเสธก็ได้ สุดแท้แต่คุณทั้งนั้น แต่ในฐานะคนเป“นแม่ของลูกชายคนนึง ป้าดีใจและถือเป“นเกียรติอันสูงสุด ถ้าป้าจะได้คุณมาเป“นลูกสาวอีกคนนึงค่ะ"
"คุณป้า...หนูต่างหากล่ะคะที่ ได้รับเกียรติอันสูงสุด" มาลินีพนมมือขึ้นไหว้แล้วกราบลงบนตักแม่ปุยด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ แม่ปุยเองก็ยิ้มแย้ม รู้สึกไม่ต่างไปจากกัน ลูบหัวมาลินีอย่างเอ็นดู
"นี่แปลว่าตกลงใช่ไหมคะ"
มาลินี อายจนไม่กล้าสบตา ถามแม่ปุยว่าหนูต้องทำยังไงบ้าง แม่ปุยบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ต่อไปนี้เรียกแม่ แทนป้า ส่วนมาลินีเองก็ขอให้แม่ปุยเลิกเรียกเธอว่าคุณมา
"แล้วจะให้แม่เรียกยังไง เรียกแม่มาเหมือนที่ไอ้ป—๊ดมันเรียกดีไหม"
"ค่ะ...แม่"
แม่ปุยฉีกยิ้มชื่นใจ ดึงตัวมาลินีเข้ามากอด
ooooooo
ทันที ที่เห็นแม่ปุยเดินออกมาจากบ้าน ลีนวัตรก็โผล่ออกจากที่ซ่อนหลังต้นไม้ แม่ปุยเจรจาสู่ขอมาลินีสำเร็จ แต่แกล้งตีหน้าเศร้าอำลูกชายซะจนหน้าซีดหน้าเสียว่ามาลินีไม่ยอมรับหมั้น พอลีนวัตรรู้ความจริง ก็กระดี๊กระด๊าดีใจกระโดดตัวลอย ทั้งกอดทั้งหอมแม่ปุยยกใหญ่ และรับปากจะบวชเรียนให้แม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองก่อนที่เขาจะแต่งงานมีครอบ ครัว
ปทุมทำใจไม่ได้เมื่อรู้ข่าวการหมั้นหมายของมาลินีกับลีนวัตร ขณะที่ผู้ใหญ่โหมดก็ขุ่นเคืองใจไม่น้อยเหมือนกัน ปทุมบอกพ่อว่าเป“นตายยังไงเธอก็ไม่ยอมให้นังหน้าลิงนั่นมาแย่งผู้ใหญ่ลีของ เธอ และพ่อก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เธอด้วย
"เออ รู้แล้ว ข้ากำลังใช้ความคิดอยู่โว้ย แล้วมันจะหมั้นกันเมื่อไหร่ไอ้ทองใบ"
"แหล่ง ข่าวรายงานว่าไม่รู้เหมือนกันจ้ะ แต่ก็คงจะเร็วที่สุดละจ้ะ เพราะสองคนนั่นรักกันเหลือเกิน รักกันดูดดื่ม รักกัน จนไม่รู้จะรักกันยังไงแล้ว"
ปทุมสุดบาดหูบาดใจ หลับหูหลับตากรี๊ดอย่างทนไม่ได้ ผู้ใหญ่โหมดกับทองใบพากันสะดุ้ง ขี้หูแทบร่วง
"เอ็งใจเย็นๆนังทุม งานนี้มันต้องมีแตกหักกันไปข้างนึงแน่ๆโว้ย"
ส่วน อีกคนที่ฟูมฟายไม่แพ้ปทุมก็คือประดิษฐ์ เขาเดินต้อนหน้าต้อนหลังต่อว่ามาลินีเป“นวักเป“นเวน "มา...ทำไมมาทำกับดิ๊กได้ลงคอ คำสัญญาที่เคยให้ไว้แก่กันมันไม่มีความหมายอะไรแล้วใช่ไหม มาถึงได้ทำอย่างนี้"
"ฉันว่าความจำฉันไม่ได้เสื่อมนะ ฉันไม่เคยสัญญาอะไรกับคุณ คุณต่างหากที่สัญญาสาบานอะไรต่ออะไรสารพัด แต่ก็ไม่เคยทำได้เลยซักอย่าง"
"ไอ้ ผู้ใหญ่ลีนั่นมันมีดีอะไร มันก็แค่ไอ้ผู้ใหญ่บ้าน บ้านนอกกระจอกๆ พูดก็เหน่อ แต่งเนื้อแต่งตัวก็เสร่อ ตะป•ตะชาติ เคยเห็นกรุงเทพฯซักกี่ครั้งก็ไม่รู้ มาจะไปเป“นเมียมัน ไม่อายคนอื่นเขารึไง"
"ทำไมฉันจะต้องอายล่ะ ในเมื่อฉันมั่นใจว่าเขาเป“นคนดี แล้วก็ปกป้องคุ้มครองฉันได้ คุณดิ๊ก...คุณค่าของความเป“นคนน่ะนะ เขาไม่ได้ดูกันที่รูปร่างหน้าตา แต่งตัวยังไง หรือแม้แต่ พูดภาษาอะไรหรอก วันนี้คุณอาจจะคิดอย่างนั้น แต่สักวันคุณคงจะเข้าใจเอง"
"ดิ๊กจะไม่ยอมให้มากับมันได้แต่งงานกันหรอก"
"ฉัน เคยมีความรู้สึกดีๆให้กับคุณ ถึงวันนี้ก็ยังพอมีอยู่บ้างในฐานะเพื่อน อย่าให้ฉันต้องรู้สึกแย่กับคุณไปกว่านี้เลยดีกว่านะคะ" พูดจบมาลินีก็เดินหลบเข้าในบ้าน ประดิษฐ์ ได้แต่มองตามอย่างสุดช้ำ
แต่คน ที่กำลังสุขสุดๆในยามนี้เห็นจะเป“นลีนวัตร พอกลับถึงบ้านพร้อมแม่ปุย ลีนวัตรก็จัดแจงขอแหวนหมั้นที่พ่อเคยใช้หมั้นแม่ ซึ่งไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรนัก แต่เป•่ยมไปด้วยคุณค่าทางจิตใจ เพราะมันคือสิ่งแทนความรักที่พ่อกับแม่มีให้แก่กัน
หลังจากถูกมาลินีตัด เยื่อขาดใยอย่างสิ้นเชิง ประดิษฐ์ ทั้งเจ็บทั้งแค้น ไปร่วมมือกับผู้ใหญ่โหมดและปทุมเพื่อขัดขวางการหมั้นระหว่างมาลินีกับลี นวัตรให้จงได้ ผู้ใหญ่โหมดวางแผนให้ปทุมกับประดิษฐ์รวบหัวรวบหางคนรักของตัวเอง โดยใช้ให้ทองใบเป“นคนไปบอกมาลินีว่าผู้ใหญ่ลีนัดเจอเธอที่กระต๊อบตอนสามทุ่ม เสร็จแล้วก็ให้ทองใบไปบอกลีนวัตรด้วยว่า มาลินีนัดเจอเขาที่กองฟางตอนสามทุ่มเช่นกัน
แต่ตอนที่ทองใบจะไปบอก มาลินีนั้น เจอพินรับหน้า ทองใบจึงฝากพินบอกต่อมาลินี แต่พินซักถามด้วยความสงสัยเสียจนทองใบชักจะงง เกือบมีการผิดพลาดเรื่องสถานที่นัดหมาย ครั้นไปต่อที่บ้านผู้ใหญ่ลี ทองใบเจอป—๊ดและถูกป—๊ดถามซอกแซก อีกเหมือนกัน ทำเอามึนตึ้บกว่าจะทำภารกิจเสร็จสิ้น
พอมาลินีรู้จากพินก็นึกสงสัยทำไมลี นวัตรถึงนัดไปเจอที่กระต๊อบ มันทั้งมืดทั้งรก แต่พินก็ว่าผู้ใหญ่ลีอาจมีธุระสำคัญ พูดพลางก็ลอบยิ้ม แล้วคะยั้นคะยอให้มาลินีไปให้ได้ ขณะเดียวกันนั้นลีนวัตรก็เตรียมแต่งตัวหล่อตั้งแต่เย็น หลังรู้จากป—๊ดว่ามาลินีอยากเจอเขาที่กองฟางตอนสามทุ่ม
ทางด้านปทุมกับ ประดิษฐ์ก็เตรียมดื่มเหล้าย้อมใจตัวเองก่อนไปปฏิบัติภารกิจสำคัญ ซึ่งครั้งนี้ผู้ใหญ่โหมดหมายมั่น ปั้นมือเป“นอย่างมากว่าเขาต้องได้ผู้ใหญ่ลีเป“นลูกเขยอย่างแน่นอน ส่วนทองใบก็ยังคงมีหน้าที่อย่างต่อเนื่อง โดยผู้ใหญ่โหมดได้มอบหมายให้ทองใบตามปทุมไปที่กองฟางตอนสามทุ่ม แล้วกำชับให้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปปทุมเอาไว้ทุกซอกทุกมุม แต่มีข้อแม้ว่าตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม ทองใบต้องหลับตาถ่าย ห้ามแอบดูลูกสาวของตนอย่างเด็ดขาด
แต่พอถึงเวลาเกิดผิดพลาดอย่างมหันต์ เมื่อฝนดันเทลงมาอย่างหนัก มาลินีกับลีนวัตรที่ต่างก็ไปรอยังสถานที่นัดหมายเกิดวิ่งออกมาเจอเข้า แล้วพากันกลับไปหลบฝนที่บ้านมาลินี ขณะที่ปทุมซึ่งกรึ่มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็วิ่งหาที่หลบฝน ประดิษฐ์เองก็กรึ่มพอกัน กำลังเฝ้ารอมาลินีอยู่ในกระต๊อบที่ค่อนข้างมืดสลัว ทันทีที่ปทุมวิ่งหลบฝนเข้ามา ประดิษฐ์จึงรวบตัวปทุมมาปลุกปล้ำ เพราะเข้าใจว่าเป“นมาลินี ส่วนปทุมพยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ สุดท้ายเธอก็อ่อนระทวย เพราะบรรยากาศเป“นใจให้อารมณ์กระเจิดกระเจิง
ทอง ใบเองก็ถองเหล้ากรึ่มอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ทองใบก็ซื่อสัตย์กับงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด พองานลุล่วงลงแล้ว ทองใบก็รีบนำโทรศัพท์มือถือนั้นไปให้ ผู้ใหญ่โหมดที่คอยฟังข่าวอยู่ที่บ้านอย่างกระวนกระวาย ทองใบคุยอวดว่างานสำเร็จ รับรองไม่มีพลาด
"เออ ให้มันได้ยังงี้สิวะ แล้วภาพชัดแจ๋วไหมล่ะ"
"ฉันไม่รู้จ้ะ"
"ไม่รู้ได้ยังไงวะ"
"อ้าว ก็พ่อผู้ใหญ่สั่งเอาไว้ว่าตอนถ่ายให้หลับตาป•๋ไงจ๊ะ ฉันก็หลับตาป•๋ตามสั่งแหละ"
"เออ เอ็งนี่มันซื่อสัตย์ดี ยังงี้อยู่กับข้าไปได้อีกนาน"
"แล้วพ่อผู้ใหญ่จะไม่เป”ดดูผลงานฉันซะหน่อยเหรอจ๊ะ"
"ดู สิวะ ต้องดู" ผู้ใหญ่โหมดตั้งท่าจะเป”ดคลิปในมือถือ แต่พอทองใบยื่นหน้าเข้ามาจะดูด้วย เขาก็เปลี่ยนใจกะทันหัน "เฮ้ย ไม่ได้โว้ย นี่มันลูกสาวข้า แล้วอีกอย่างนี่มันก็ลับสุดยอดเลยนะโว้ย...เอ้า เอ็งเอาเงินนี่ไปซื้อของหวานกิน แล้ววันหลังเผื่อมีงานอีกค่อยเจอกัน"
ทอง ใบยกมือไหว้ผู้ใหญ่โหมดท่วมหัว ก่อนรับเงินสองร้อยมาด้วยความดีใจ "พ่อผู้ใหญ่นี่มีน้ำใจกับลูกนกลูกกาจริงๆ ขอให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปเถิด"
ผู้ใหญ่โหมดยิ้มพอใจกับคำสรรเสริญของทองใบ แล้ววาดฝันอย่างครึ้มอกครึ้มใจ หลังจากทองใบคล้อยหลังออกไปแล้ว
"ไอ้ ผู้ใหญ่ลี งานนี้ยังไงก็ต้องตายหยังเขียด พรุ่งนี้เอ็งต้องคลานเข้ามาเรียกข้าว่าคุณพ่อครับ พ่อโหมดครับ มีอะไรให้ลูกเขยคนนี้รับใช้ครับ...ฮ่าๆ"
แต่ผู้ใหญ่โหมดหารู้ไม่ว่า เวลานี้คนที่มีความสุขสุดๆ ก็คือลีนวัตรกับมาลินี ทั้งคู่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง เพราะพินเป“นใจเป”ดโอกาสตอนทั้งคู่เข้ามาหลบฝนในบ้าน พินแอบสับคัตเอาต์ทำให้ไฟดับมืดทั้งบ้าน มาลินีต้องหาเทียนมาจุด นั่นยิ่งสร้างบรรยากาศโรแมนติกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลีนวัตรจึงถือโอกาสนี้สวมแหวนหมั้นให้มาลินีเป“นที่เรียบร้อย...
ปทุมกับ ประดิษฐ์รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองเอาตอนเช้าของอีกวัน ทั้งคู่ต่างแข่งกันกรี๊ดแข่งกันโวยจนกระต๊อบแทบแตก ก่อนจะแยกย้ายกันไปด้วยความขยะแขยง และเจ็บใจที่แผนล้มเหลวไม่เป“นท่า
ผู้ใหญ่ โหมดไม่ได้เอะใจอะไรเลยเมื่อเห็นปทุม ร้องไห้กระซิกกลับมา แถมยังนึกว่าผู้ใหญ่ลีติดใจลูกสาวของตนจนไม่ยอมให้กลับตั้งแต่เมื่อคืน ครั้นปทุมพยายามจะบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่โหมดก็เอาแต่พูดๆๆ ไม่เป”ดช่องให้ปทุมได้แทรกเลย
"เอ็งไม่ต้องกลัวไปหรอก ต่อให้มันปฏิเสธยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้นหรอกโว้ย เพราะหลักฐานมันมีอยู่เห็นๆ จะเอาออกมาแฉเมื่อไหร่ก็ได้ เอ็งทำดีแล้วล่ะทุมเอ๊ย อีกหน่อยได้แต่งงานกับผู้ใหญ่ลี พ่อก็จะพลอยสบายไปด้วย เอ็งนี่รัฐบาลต้องมอบรางวัลลูกกตัญญูให้ทีเดียวล่ะ"
ปทุมแทบไม่ได้ฟังที่พ่อพูดพล่าม เอาแต่ร้องไห้กระซิก เสียใจและเจ็บใจที่สูญเสียพรหมจรรย์ให้ประดิษฐ์ไปแล้ว...

ooooooo


เฉลากลับมาตั้งใจเรียนเหมือนเดิม เป็นที่ชื่นใจ ของแม่ปุยและลีนวัตร เช้าวันนี้ขณะที่เฉลา ฉลวย และ ปื๊ดกำลังจะออกไปเรียน ฉลวยบอกแม่ปุยว่า ถ้าตนเรียนจบ ม.6 ตนจะไปเรียนต่อที่รามคำแหง ไปอยู่กรุงเทพฯ เรียนไปทำงานไป จะได้ไม่ต้องกวนเงินแม่ แต่พอแม่ปุยถามว่าจะไปเรียนอะไร ฉลวยก็ว่ายังไม่รู้เลย เอาไว้ค่อยดูอีกที
สายหน่อย มาลินี วลัย และสมรออกไปตลาด ประดิษฐ์ ติดสอยห้อยตามอีกตามเคย สาวๆเลือกของกันสนุก ประดิษฐ์ กลับหน้ามุ่ยไม่มีอารมณ์ร่วม แต่ก็ไม่ยอมไปไหน ประกบติดมาลินีอยู่อย่างนั้น
"ไปกันรึยังครับมา ร้อนจะตาย แอร์ก็ไม่มี เหงื่อผมออก เต็มหลังเต็มคอไปหมดแล้ว"
"ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาก็ไม่เชื่อ"
"นายจะไปไหนก็ไปนายดิ๊ก บอกได้เลยว่าพวกฉันคงจะช็อปปิ้งกันอีกนาน" วลัยพูดอย่างไม่ชอบใจ
"งั้นมาเอากุญแจรถมาให้ดิ๊ก ดิ๊กจะไปคอยที่รถ"
"จะ ไปเปิดแอร์นั่งสบายใจในรถนะเหรอ ฝันไปเหอะ น้ำมันไม่แพง แต่โลกมันร้อน ทำตัวให้ทันสมัยหน่อยคุณดิ๊ก" สมรว่าให้ มาลินีเองก็ไล่ประดิษฐ์ จะไปไหนก็ไป อีกชั่วโมงถ้าจะกลับก็ไปเจอกันที่รถ
"เลยนาทีเดียวก็ไม่คอยนะ บอกซะก่อน" วลัยขู่ฟ่อ ประดิษฐ์สุดหงุดหงิด เดินออกไปทันที
"เป็นฉัน...ฉันไม่ทนแล้วนะเนี่ย นี่แกจะซื้ออะไรอีกยัยมา"
"ว่าจะหาซื้อขนมไปฝากพินเขาซะหน่อย เผื่อจะหายเศร้าเรื่องนายทองใบ"
"ฉันว่าอย่างยายพินก็ทำบุญมาใช้ได้นะ ไม่ต้องตกนรกนานเพราะต้องทนกับผู้ชายห่วยๆอย่างนายทองใบ"
"ฉันว่าผู้ชายทั้งโลกสำหรับแกนี่ไม่มีใครดีเลยซักคนมั้ง วลัย"
"มี สิยะ ก็ผู้ใหญ่ลีไง" มาลินีเขินเพราะวลัยแซวชัดๆ สมรก็กรี๊ดกร๊าด วลัยยิ่งได้ใจ เม้าท์ใหญ่ "บอกซะเลยนะ ขืนมัว แต่ไว้ตัวไม่พัฒนาความสัมพันธ์จะโดนคาบไปรับประทาน"
"ใคร?" สมรสงสัย
"จะใคร...ก็ฉันเองน่ะสิ" วลัยตอบแล้วก็หัวเราะหน้าบาน...

ประดิษฐ์เดินหน้ามุ่ยเข้ามาในร้านผู้ใหญ่โหมด แล้วทำท่าจะทะเลาะกับปทุมอีกตามเคย เพราะปทุมเดาถูกเผงว่าที่ประดิษฐ์อารมณ์ไม่ดีเพราะเด็กตัวเองกำลังมีกิ๊ก
"เด็ก ผม ยังไงก็คุมอยู่ ผมแค่มีปัญหานิดหน่อยเรื่องงานเท่านั้นเองครับผู้ใหญ่ อย่าไปพูดถึงมันเลยครับ เสียอารมณ์เปล่าๆ เงินแค่ล้านสองล้านเข้าบัญชีช้าไปวันสองวัน มันจะอะไรนักหนาวะ"
ผู้ใหญ่โหมดสำลักน้ำลาย ทันทีที่ได้ยินจำนวนเงินหลักล้าน ขณะที่ปทุมก็หูผึ่งไม่แพ้พ่อ
"โบรกเกอร์ ผมน่ะครับมันกวนประสาทนิดหน่อย วันนี้ผมเช็กดูราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นะครับ เห็นหุ้นน้ำมันมันตก ก็เลยกะว่าจะช้อนซื้อไว้หน่อย เผื่อเอาไว้ขายทำกำไรเล่นๆ มันจะให้ผมโอนเงินไปให้มันเดี๋ยวนี้ ผู้ใหญ่คิดดูสิครับ ปัญญาอ่อนไหม"
"คุณดิ๊กเล่นหุ้นด้วยเหรอคะ" ปทุมซักอย่างสนใจ
"ก็ เล่นแก้เบื่อไปยังงั้นเอง ดีกว่าเก็บเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ ดอกเบี้ยมันถูกเหลือเกินครับ ซื้อขายกันสองสามนาที ผมก็ได้กำไรแล้วห้าล้านสิบล้าน"
สองพ่อลูกมองตากันลุกวาว ผู้ใหญ่โหมดอยากรู้ว่าหุ้นเขาเล่นกันยังไง ประดิษฐ์บอกว่าผู้ใหญ่เป็นคนนอก ถ้าตนอธิบายคงต้องยืดยาว ปวดหัวแหงๆ อีกอย่างอธิบายไปก็ไม่เหมือนกับลงมือเล่นเอง
"ก็น่าสนใจนะ แล้วต้องทำยังไงบ้างล่ะ"
"ไม่ยากหรอกครับ ผู้ใหญ่แค่เอาเงินสดซักสองสามแสนมาให้ผมก็พอ เรื่องอื่นผมจัดการเอง"
ผู้ใหญ่โหมดท่าทางเชื่อ วาดฝันถึงกำไรก้อนโต แต่หารู้ไม่ว่า ประดิษฐ์แอบยิ้มเจ้าเล่ห์
ooooooo
มาลินี ตั้งใจซื้อขนมมาฝากพินให้คลายความเศร้าเรื่องทองใบ แต่กลายเป็นว่าเธอและเพื่อนๆกลับมาเจอพินหน้าระรื่นอี๋อ๋ออยู่กับทองใบ ทั้งที่เมื่อวานแทบจะฆ่ากันตาย สามสาวเลยพูดไม่ออก ได้แต่มองตากันปริบๆ อีกครู่มาลินีก็ต้องแตกตื่นเมื่อลงไปที่เล้าไก่ แล้วไม่พบไก่สักตัว เธอกลับขึ้นมาซักถามทองใบ ก็ได้ความว่าเมื่อเช้าเห็นผู้ใหญ่ลีเข้าไปที่เล้าไก่
เมื่อมาลินีมาทวง ถามเรื่องไก่ของเธอ ลีนวัตรกลับยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้เธอ บอกว่าเป็นค่าขายไก่ มาลินีทั้งโกรธทั้งเสียใจ ไม่ยอมรับเงิน แถมยังต่อว่าเขาหลายคำก่อนจะวิ่งน้ำตาคลอกลับไปเล่าให้วลัยกับสมรฟัง สองสาวช่วยกันปลอบ แต่ก็ไม่เป็นผล พอดีปื๊ดวิ่งเอาเงินจากลีนวัตรมาให้มาลินี มาลินียิ่งฉุนใหญ่ ตัดพ้อต่อว่าลีนวัตรฝากไปกับปื๊ด พอลีนวัตรฟังปื๊ดถ่ายทอดก็ยิ่งร้อนใจ รีบหาซื้อลูกเจี๊ยบห้าสิบตัวไปให้ มาลินีแทนไก่ที่ขายไป โดยบอกเหตุผลที่ขายว่า ไก่พวกนั้นแก่จนแทบจะไม่ให้ไข่แล้ว เลี้ยงต่อไปก็ไม่คุ้มค่าอาหาร มาลินีเพิ่งเข้าใจ จึงขอโทษลีนวัตรที่เธอต่อว่าเขารุนแรงไปหน่อย
ฉลวยปรึกษาลีนวัตรเรื่องจะ เรียนรามคำแหง ลีนวัตรไม่อนุญาต และไม่เห็นด้วยที่ฉลวยจะดิ้นรนเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ ทั้งที่ยังไม่มีจุดหมายว่าอยากเรียนอะไร แค่จะเลียนแบบเพื่อนฝูง แล้วแบบนี้แม่กับพี่จะภูมิใจได้ยังไง
"ฉันจะเรียนไปทำงานไป หาเงินส่งตัวเองก็ได้" ฉลวยดันทุรัง
"เอ็งทำได้ยังงั้นมันก็ดี แต่พี่ว่าเอ็งไปไม่รอดหรอกหลวย"
"พี่ ลีใจแคบ อยากจะเห็นฉันดักดานอยู่บ้านนอกมากกว่า โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ยังคิดแบบโบราณๆอยู่ได้" ฉลวยบ่นอย่างขัดใจ แต่แม่ปุยนั่งอึ้ง หนักใจ...
กลาง วันวันนี้ ผู้ใหญ่โหมดกับปทุมมาตั้งโต๊ะให้ชาวบ้านรับบัตรคิวเช่ารถเกี่ยวข้าว ซึ่งเขาคิดชั่วโมงละหนึ่งพัน มีชาวบ้านให้ความสนใจจำนวนมาก แต่ลีนวัตรเฝ้ามองอย่างไม่เห็นด้วย พอปทุมเข้ามาชักชวน ลีนวัตรจึงตอบแบ่งรับแบ่งสู้เพื่อรักษาน้ำใจ แต่หลังจากนั้นผู้ใหญ่โหมดโยกไปเข้าทางแม่ปุย แม่ปุยก็ว่าเรื่องนี้ต้องถามผู้ใหญ่ลี เขาเป็นคนเดียวที่จะตัดสินใจ เอาไว้จะถามให้ก็แล้วกัน...
ประดิษฐ์กะกินหัวคิว เขามาบอกมาลินีว่าผู้ใหญ่โหมดรับจ้างเกี่ยวข้าวด้วยรถชั่วโมงละพันสอง แต่พินแย้งว่าได้ยินมาแค่พันเดียว ประดิษฐ์โกรธพิน แล้วแอบด่าพินอย่างหยาบคาย เมื่อได้คำตอบจากมาลินีว่าเธอขอคิดดูก่อน หลังจากนั้นมาลินีไปปรึกษาลีนวัตร เธอจึงได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน
"ชาวนา ส่วนใหญ่ไม่มีทางรู้หรอกครับว่าตัวเองเกี่ยวข้าวแล้วจะเหลือเงินเท่าไหร่ จนกว่าข้าวจะถูกส่งไปถึงโรงสีโน่นแหละ แม้แต่ราคาข้าวทั้งที่รัฐบาลประกาศ มันก็ไม่เคยเป็นไปตามนั้นซักที เพราะต้องถูกหักค่าความชื้น ค่าเปอร์เซ็นต์ข้าว บางรายพอหักค่าเช่านา ค่าปุ๋ย ค่ายา ส่งดอกเงินกู้ ก็หมดตัวพอดี ที่ติดลบก็มีไม่ใช่น้อย สรุปทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ข้าวที่จะเก็บไว้กินเองยังไม่มี"
"ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมชาวนาถึงทิ้งนา"
"ไม่มีใครอยากทิ้งแผ่นดินของตัวเองหรอกครับ พวกเขาถูกปล้นมากกว่า"
"ฟังดูแล้วหดหู่จังค่ะ"
"ผม ถึงไม่เห็นด้วย แม้แต่การจ้างรถเกี่ยวข้าวของผู้ใหญ่โหมด...ผมกำลังพยายามทำให้ทุกคนเห็นว่า ทางเดียวที่เราจะลืมตาอ้าปากได้ก็คือ หยุดหนี้แล้วก็ตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ที่เหลือจะได้เป็นรางวัลสำหรับน้ำพักน้ำแรงของพวกเราครับ"
"แล้วสมัยก่อนไม่มีเครื่องจักรมาทุ่นแรง เราเกี่ยวข้าวกันยังไงคะ"
"ก็แรงงานคนนี่แหละครับ"
"พูดเป็นเล่น นาเป็นสิบเป็นร้อยไร่ จะไปเกี่ยวไหวได้ยังไงคะ"
"ไหวสิครับ คุณไม่เคยได้ยินคำว่าลงแขกเกี่ยวข้าวเหรอ"
หลัง ฟังลีนวัตรอธิบายความหมายคำว่าลงแขกแล้ว มาลินีก็กลับไปถ่ายทอดให้วลัยกับสมรอีกต่อหนึ่ง และเธอเองก็เห็นด้วยกับลีนวัตร ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะเก่า ที่ใครๆมองว่ามันคร่ำครึโบราณ แต่สำหรับเธอมองว่ามันเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุด ถ้าจะแก้ปัญหาระยะยาวของชาวนาไทย
"เรามีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง แล้วก็เหมาะสมกับสังคมของพวกเรา แล้วทำไมเราถึงลืม หรือหันหลังให้รากเหง้าของตัวเราเองล่ะ"
"แหม...ฉันรู้สึกว่าผู้ใหญ่ลีคิดอะไรทำอะไรก็ดีไปหมดเลยนะยัยมา" สมรกระเซ้ายิ้มๆ
"ก็เขาคิดดี แล้วทำดีจริงๆนี่นา เรื่องลงแขกเกี่ยวข้าวนี่ฉันจะช่วยเขาเต็มที่เลย"
"แล้วถ้าไม่มีชาวบ้านเล่นด้วยซักคนล่ะยัยมา" วลัยแย้งขึ้นมา ทำเอามาลินีนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
ooooooo
ลี นวัตรพยายามทำความเข้าใจกับชาวบ้านด้วยเรื่องลงแขกเกี่ยวข้าวดีกว่าเช่ารถ ของผู้ใหญ่โหมด แต่ชาวบ้านกลับมีข้อโต้แย้งด้วยเหตุผลตื้นๆของพวกเขา และยืนยันจะยังเช่ารถของผู้ใหญ่โหมดให้ได้ แม่ปุยและพวกมาลินีเข้าใจในความปรารถนาดีของลีนวัตร แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเขายังไง
จนกระทั่งมาลินีได้ยินปื๊ดพูดกับลีนวัตรว่า ปื๊ดจะหยุดโรงเรียนมาช่วยพ่อเกี่ยวข้าว แต่พ่อต้องเซ็นรับรองใบลาให้ปื๊ดด้วย มาลินีเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา และค่อนข้างมั่นใจว่ามันต้องได้ผลด้วย...
หลังจากคืนดีกันได้ไม่กี่วัน พินกับทองใบก็ทะเลาะกันอีกจนได้ เพราะทองใบยังแอบกินเหล้าเมาหยำเป คราวนี้พินเลยทั้งด่าทั้งทำร้ายจนทองใบหัวแตก และตัดขาดความเป็นผัวเมีย ไม่ให้ทองใบโผล่หน้ามาให้เห็นอีก...ด้านฉลวยยังมุ่งมั่นอยากไปเรียนต่อมหา วิทยาลัยในกรุงเทพฯ วันนี้ฉลวยมาปรึกษามาลินี แต่มาลินีกลับเห็นด้วยกับความคิดของลีนวัตร
"ฉันว่าก็ถูกของผู้ใหญ่ลีเขา เหมือนกันนะจ๊ะ เรื่องคิดจะเรียนต่อให้มีความรู้สูงๆเป็นเรื่องดี แต่มันจะยิ่งดีใหญ่เลย ถ้าเราคิดให้ได้ว่าเราสนใจเรื่องอะไร ถนัดเรื่องอะไรกันแน่ หรือแม้แต่เรียนจบมาเราใช้ความรู้ที่ได้มาให้เป็นประโยชน์ยังไง แล้วเลือกเรียนตามนั้น ไอ้เรื่องเรียนตามคนอื่นเพราะคิดไม่ออก มันก็เท่ากับเราเองก็ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอนั่นแหละ"
"ก็เพื่อนๆหลวยตั้งหลายคนเขาเข้ากรุงเทพฯกัน"
"หลวยก็เลยอยากไปบ้าง"
"แล้วกรุงเทพฯมันไม่ดีตรงไหน พี่ลีเขาถึงไม่อยากให้ หลวยไป หลวยไม่เข้าใจจ้ะ"
"ไม่ ใช่ว่ากรุงเทพฯไม่ดีหรอกนะหลวย แต่ถ้าจะถามฉัน ฉันว่าทุกวันนี้กรุงเทพฯแน่นเกินไปแล้ว ฉันเป็นคนกรุงเทพฯตั้งแต่เกิด ฉันว่าฉันรู้ดี ในเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าการเข้าไปแออัดยัดเยียดกันอยู่ในกรุงเทพฯ ทำไมเราจะไม่เลือกล่ะ"
ฉลวยนิ่งเงียบฟังแต่ในใจยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี ...หลังจากนั้น มาลินีออกจากบ้านมุ่งหน้าไปโรงเรียนที่ปื๊ดเรียน เด็กๆเห็นมาลินีก็นึกว่าดารา ปื๊ดได้ทีคุยอวดว่าเธอเป็นแม่ของตนเอง แล้วปื๊ดก็จูงมือมาลินีไปพบครูใหญ่ตามความต้องการของมาลินี...
ตกเย็น ชาวบ้านยกโขยงกันมาที่บ้านผู้ใหญ่ลี ตอนแรกลีนวัตรตกใจนึกว่ามีใครเป็นอะไร แต่พอได้ฟังชาวบ้านบอกว่า จะมาถามเรื่องลงแขกเกี่ยวข้าว ถ้าจะทำกันจริงๆ ผู้ใหญ่ยังจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้พวกเราได้ไหม ลีนวัตรถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน ถามทุกคนว่านึกยังไงถึงได้เปลี่ยนใจ
"ครูใหญ่น่ะสิ แกประกาศปิดโรงเรียนสองวีกเลย ให้เด็กๆมันมาช่วยเกี่ยวข้าว"
"ลูก ฉันมันกลับบ้าน มันว่านาของเราแท้ๆ ทำไมเราไม่ทำเอง ทำไมต้องไปจ้างคนอื่นให้เสียเงินด้วย มันว่ามันอยากลงแขกเกี่ยวข้าวกับผู้ใหญ่"
"ลูกฉันมันก็ว่า เกิดมาเป็นชาวนาแต่เกี่ยวข้าวไม่เป็นก็เสียชาติเกิดเป็นชาวนา ผู้ใหญ่ฟังมันว่าก็แล้วกัน ฉันละอายจนไม่รู้จะอายยังไง"
"เรามาลงแขกเกี่ยวข้าวกันนะผู้ใหญ่นะ"
เสียงเรียกร้องของชาวบ้านทำเอาลีนวัตรยิ้มออก แม่ปุยเองก็พลอยเป็นปลื้ม
"เรื่อง นั้นไม่ยากหรอก ขอแค่ทุกคนเต็มใจที่จะร่วมแรงร่วมใจกันเท่านั้นเอง แต่ฉันอยากรู้ว่าใครที่ทำให้ความคิดดีๆอย่างนี้เกิดขึ้นได้" ขาดคำของลีนวัตร ปื๊ดก็เดินฝ่ากลุ่มชาวบ้านออกมายืนยืดเต็มที่
"จะใครล่ะพ่อ ถ้าไม่ใช่ปื๊ด"
"เอ็งเนี่ยนะ ไอ้ปื๊ด"
"ถ้าไม่ได้ปื๊ด แม่มาก็ไม่ได้คุยกับครูใหญ่หรอกพ่อ"
หลังรู้ที่มาที่ไปจากปื๊ดแล้ว ลีนวัตรรีบไปพบมาลินีถึงบ้าน แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร มาลินีก็ออกตัวว่า
"ฉัน ไม่ได้หลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือนะคะ ฉันแค่รู้สึกว่าบางทีผู้ใหญ่ก็ดื้อเกินกว่าที่เราจะโน้มน้าวความคิดได้ โฆษณาขายของในทีวียังต้องอาศัยเด็กเป็นตัวชักจูงพ่อแม่ ให้คนเป็นพ่อแม่ตัดสินใจตามลูกเลยนี่คะ"
"ยังไงผมก็ต้องขอขอบคุณคุณมาอยู่แล้วครับ ถ้าไม่ได้คุณมา สิ่งดีๆก็คงไม่เกิดขึ้นที่คลองหมาหอน"
"ฉันสงสารคนบางคนที่เสียหน้ามากกว่าค่ะ"
"ทีหลังผมจะได้ทำเรื่องให้ตัวเองเสียหน้าอีกบ่อยๆ คุณมาจะได้เห็นใจผมอีกไงครับ"
"คนบ๊อง" มาลินีขวยเขิน ทันใดนั้นเอง ประดิษฐ์เดินอาดๆเข้ามาหน้าตาขึงขัง
"มาครับ...มันเรื่องอะไรมานั่งคุยลับๆล่อๆกับไอ้บ้านี่ เดี๋ยวใครเห็นก็เอาไปนินทาหรอก"
"ใครจะนินทาค่ะ นอกจากคุณ" มาลินีย้อนเข้าให้ ประดิษฐ์ถึงกับสะอึกอึ้งไปเหมือนกัน
"นี่ดิ๊กหวังดีนะถึงได้เตือน"
"ขอบ คุณ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้...พรุ่งนี้เจอกันนะคะผู้ใหญ่ลี" มาลินียิ้มให้ลีนวัตรอีกนิด ก่อนเดินกลับเข้าบ้าน ประดิษฐ์ฉุน พาลจะเอาเรื่องลีนวัตรให้ได้
"ลื้อนี่มันชักจะหนักข้อขึ้นทุกทีแล้วนะ นัดแฟนอั๊วทำอะไร"
"เป็น แฟนกันคุณก็ต้องรู้สิว่าแฟนคุณเขานัดผมทำอะไร ยกเว้นว่าคุณมาเขาไม่คิดว่าคุณเป็นแฟน" ยอกย้อนให้แสบๆคันๆแล้วลีนวัตรก็เดินยิ้มออกไป
"ไอ้บ้า!" ประดิษฐ์ยัวะจัด เตะลมแล้งระบายอารมณ์
ขณะ เดียวกันนั้น ผู้ใหญ่โหมดกำลังหงุดหงิดหัวเสียอย่างหนัก เพราะมีชาวบ้านหลายราย โทร.มายกเลิกเช่ารถเกี่ยวข้าว โดยเปลี่ยนไปใช้วิธีลงแขกแทน ปทุมเองก็เจอแบบเดียวกันนี้เหมือนกัน วิ่งหน้าตื่นมาบอกข่าวร้ายกับพ่อ
"พ่อ...ไอ้พวกคลองหมาหอนมันโทร.มาบอกเลิก
คิวจองรถเกี่ยวข้าวของเราตั้งห้ารายแน่ะ มันบอกจะลงแขกเกี่ยวข้าวกันเอง"
"ข้ารู้แล้วโว้ย...กำลังเครียดอยู่เนี่ยไม่เห็นรึไง...โง่ชิบเป๋ง มีรถเกี่ยวข้าวเท่ๆให้ใช้ เสือกไม่ใช้"
"นั่น สิพ่อ แต่ช่างหัวมันเถอะ ปล่อยให้มันโง่เง่าดักดานไปยังงั้นก็ดีแล้ว ไอ้พวกหลังเขาเต่าล้านปี ไม่เคยเปิดหูเปิดตาว่าโลกสมัยนี้เขาเดินกันไปถึงไหนแล้ว"
"ช่างหัวมันไม่ได้โว้ย เงินหายไปตั้งเท่าไหร่ ไอ้ผู้ใหญ่ลีนี่มันจ้องจะเป็นศัตรูขัดลาภกูซะจริงๆ"
"พ่อว่างานนี้ผู้ใหญ่ลีเล่นเราอีกแล้วหรอ"
"ไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใครวะ ไอ้จระเข้ขวางคลอง ก็มีมันตัวเดียวนี่แหละ" ผู้ใหญ่โหมดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้น...
ooooooo
เช้า วันรุ่งขึ้น คณะของลีนวัตรและชาวบ้านจำนวนมากก็พร้อมแล้วสำหรับการลงแขกเกี่ยวข้าว แต่ก่อนจะเริ่มลงมือ วลัยเสนอว่าโอกาสพิเศษแบบนี้ ผู้ใหญ่ลีน่าจะกล่าวอะไรให้เป็นงานเป็นการเสียหน่อย สมรรีบสนับสนุน พลางก็คะยั้นคะยอให้ผู้ใหญ่ลีทำพิธีเปิดงานสำคัญเอาฤกษ์เอาชัย
ทุกคนปรบมือด้วยความคึกคัก โดยมีวลัยกับสมรเป็นแกนนำ ปื๊ดเลยเจ้ากี้เจ้าการดึงลีนวัตรออกมายืนตรงหน้าทุกคน
"ผมดีใจที่วันนี้พวกเราได้มารวมกันเพื่อทำสิ่งที่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเราได้ทำมา จงภูมิใจและรู้ไว้เถอะว่าวันนี้
เรา มีความสุขที่สุดวันนึง ก็คือวันที่พวกเราได้ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อเกี่ยวข้าว เพราะพวกเราคือผู้ผลิตอาหารเลี้ยงคนทั้งโลก ถึงใครจะไม่สนใจความทุกข์ร้อนของพวกเราก็ช่างเขา เราก็มีศักดิ์ศรีในตัวเรา และผมอยากให้ทุกคนรู้ว่า ไม่มีใครจะดูแลพวกเราได้ นอกจากพวกเราต้องรักใคร่กลมเกลียวดูแลกันเองอย่างวันนี้ครับ"
เสียงปรบ มือดังกราวใหญ่อย่างเป็นปลื้มตื้นตันกับสุนทรพจน์ของลีนวัตร ทุกคนล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มอิ่มสุข แม้รู้ว่านาทีต่อไปนี้พวกเขาต้องเหน็ดเหนื่อยก็ตาม
"เอ้า...พวกเรา...ลุย " เหว่าตะโกนก้อง ชาวบ้าวฮึกเหิมชูเคียวเกี่ยวข้าวแทนอาวุธ แล้วเฮละโลลงนาข้าว เรียงหน้า กระดานเกี่ยวข้าวกันเป็นระวิง
ทองใบถือโอกาสนี้เข้ามาขอคืนดีกับพิน แต่พินไม่ใจ อ่อนเหมือนก่อน ซ้ำยังจะเล่นงานทองใบด้วยเคียวคมๆ จนทองใบต้องโกยหนีไม่คิดชีวิต
มาลินี เกี่ยวข้าวอย่างตั้งใจ แม้ท่าทางจะยังเงอะงะอยู่บ้างก็ตาม ลีนวัตรเป็นห่วงเธอ ขยับเข้ามาใกล้ ถามเธอว่าเหนื่อยไหม มาลินียอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็สนุกดี
"เหนื่อยก็พักก่อนก็ได้นะครับ"
"ไม่ได้หรอกค่ะ คนอื่นเขาเกี่ยวกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ฉันรั้งท้ายอย่างนี้ อายเป็นเหมือนกันนะคะ"
"ชาวบ้านเขาชมกันใหญ่ว่าหลานสาวคุณนายวันทั้งสวยทั้งน่ารัก แถมเกี่ยวข้าวก็เป็นด้วย"
"ชาวบ้านคนไหนคะ"
"อย่างน้อยก็คนที่ชื่อลีนวัตรคนนึงละครับ"
"มัว แต่มาชวนคุย เดี๋ยววันนี้ก็เกี่ยวข้าวไม่เสร็จ" มาลินีกลบเกลื่อนความเขิน ก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าว ลีนวัตร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กระแซะเข้ามาอีก แต่แล้วเขาต้องชะงักกับเสียงแปดหลอดของไอ้ลูกชายตัวดี
"พ่อ...แม่บอกว่าอย่ามัวจีบแม่มาอยู่ เดี๋ยวไม่ได้งาน"
"ไอ้ปื๊ด..." ลีนวัตรคำรามคาดโทษลูกชาย แต่กลายเป็น ว่าเขายิ่งตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านที่มองมาอย่างขำๆ
ถึง เวลาพักกินข้าวกลางวันที่เจ้าของนาจัดมาเลี้ยง ทุกคนตักอาหารแล้วมาตั้งวง กินไปคุยไปอย่างเป็นกันเอง ระหว่างนี้เอง ผู้ใหญ่โหมดขับรถยนต์เข้ามาจอด แล้วเขาลงรถมาพร้อมลูกสาวสุดสวย ตรงเข้ามาปั้นอารมณ์เบิกบานแจ่มใสใส่ทุกคน
"เป็นยังไง สวัสดีทุกคน แหม...พร้อมหน้าพร้อมตากันดีจริงๆ"
"พี่ ลีจ๋า พี่ลีเหนื่อยไหมจ๊ะ ดูสิเหงื่อเต็มหน้าเลย มาทุมเช็ดเหงื่อให้จ้ะ" ว่าแล้วปทุมก็ถึงเนื้อถึงตัวลีนวัตรทันที วลัยหมั่นไส้เหลือรับ ถึงกับกินข้าวไม่ลง บอกมันพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก ปทุมรู้ว่าถูกแขวะ สะบัดหน้าใส่วลัยพรืด
"ผู้ใหญ่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ" ลีนวัตรเอ่ยถาม
"เปล่าๆ แค่แวะมาดูเท่านั้นเองว่าเกี่ยวข้าวกันไปได้แค่ไหนแล้ว ถ้าใช้รถป่านนี้ก็เสร็จไปแล้ว ขนข้าวไปโรงสีได้แล้ว มาหลังขดหลังแข็งเหงื่อไหลไคลย้อยกันอยู่ได้"
"ผู้ใหญ่คงยังคาใจเรื่องที่ชาวบ้านเลิกใช้บริการรถเกี่ยวข้าวของผู้ใหญ่อยู่ละมัง"
"ไม่ๆๆ คาจงคาใจอะไรกันผู้ใหญ่ลี ผมน่ะมีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ ผมเคารพการตัดสินใจของชาวบ้านอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา...แม่ปุย เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เหนื่อยไหม"
ผู้ใหญ่โหมดตรงรี่เข้าไปป้อแม่ปุย ขณะที่ปทุมยังคงเกาะติดลีนวัตรแจ แต่มาลินีนิ่งเฉยไม่ได้ใส่ใจ...พอทุกคนเริ่มลุยเกี่ยวข้าวกันต่อ ผู้ใหญ่โหมดกับปทุมก็มีอันต้องถอยกลับไปที่รถ ยืนกัดกรามกรอดๆ ด้วยความเจ็บใจ
"เงินเป็นแสนๆหลุดมือกูไปหมดเลย ไอ้พวกบ้า"
"พ่อ... หนูไปรู้มาว่าโรงเรียนปิดให้ไอ้พวกเด็กๆมันมาช่วยพ่อแม่เกี่ยวข้าว เพราะนังหลานสาวคุณนายวันมันไปอ้อนครูใหญ่ถึงที่โรงเรียนเลยนะ"
"จริงหรอวะ อีนังคนนี้มันชักจะจุ้นจ้านหนักข้อขึ้นทุกที"
"ทุม ก็หมั่นไส้มัน พ่อดูสิ มันกระแดะทำเป็นเกี่ยวข้าว อยากจะอ้วก ทำเป็นชาวนา น่ารักตายละ มันน่าเอาน้ำกรดสาดให้หน้าเละเป็นผีนัก" ปทุมไม่พูดเปล่า จิกตาจ้องไปยังมาลินีด้วยความแค้นที่แน่นอก
ooooooo
ขณะเดินไปส่ง มาลินีที่บ้าน หลังจากเสร็จสิ้นการเกี่ยวข้าวในตอนเย็น ลีนวัตรพยายามให้กำลังใจมาลินีที่เพิ่งจะสัมผัสกับงานแบบนี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งเขาก็เป็นห่วงกลัวมาลินีจะท้อ เพราะอีกหลายวันกว่าจะถึงคิวเกี่ยวข้าวในนาของเธอ
"ไม่หรอกค่ะ ต่อให้เป็นคิวสุดท้ายฉันก็รอได้ ถึงจะช้าหน่อย แต่ก็ไม่มีใครทิ้งเรานี่ค่ะ"
"นี่ ถ้าคุณยายคุณท่านยังอยู่ ท่านคงมีความสุขมากที่ได้เห็นชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันอย่างนี้ ท่านเคยบอกว่าท่านจะภูมิใจมาก ถ้าท่านทำให้คนหนุ่มสาวที่ทิ้งไร่ทิ้งนาไปหางานทำในกรุงเทพฯ เปลี่ยนใจกลับมาบ้านเกิด มาช่วยกันทำให้ท้องไร่ท้องนาไม่ต้องเงียบเหงาอีกต่อไป"
"ถ้าพวกเขา เปลี่ยนความคิดซะใหม่ ว่าการอยู่อย่างสมถะพอเพียงไม่ใช่ความทุกข์ แต่จริงๆแล้วมันคือความสุขที่ยั่งยืน อะไรๆก็คงจะดีขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องคิดถึงบ้านเกิดบ้างแหละค่ะ"
"นั่นสิครับ ยิ่งถ้าพวกเขาตั้งสติให้ได้ เขาจะเห็นว่าในโลกนี้ไม่มีแผ่นดินผืนไหนจะอุดมสมบูรณ์เท่าแผ่นดินผืนนี้อีก แล้ว แล้วพวกเขาจะดิ้นรนไปหาอะไรกัน ในเมื่อปู่ย่าตายายได้สั่งสมเอาไว้ให้แล้ว ประเทศนี้เป็นประเทศเกษตรกรรม ไม่ใช่อุตสาหกรรม แล้วทำไมต้องเอาอะไรต่ออะไรมายัดเยียดให้พวกเราด้วย"
มาลินีฟังแล้วนึกขำ กระเซ้าเขาว่า ถ้าเป็นสมัยก่อนเธอคงไม่กล้าเดินกับเขา เพราะอย่างเขานี่แหละเรียกว่าคอมมิวนิสต์
"แต่วันนี้คุณมากล้าเดินกับผมนี่ครับ"
"ก็วันนี้ฉันว่าฉันก็เป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกันนี่คะ"
ลีนวัตรเป็นปลื้ม รู้สึกว่าแต่ละนาทีเขายิ่งรักผู้หญิงคนนี้ขึ้นทุกที...
หลัง อาหารค่ำ มาลินีถูกวลัยกับสมรกระเซ้าเหย้าแหย่ เรื่องลีนวัตร ในขณะที่สาวๆหัวเราะกันสนุกอยู่นั้น จู่ๆพินก็ปล่อยโฮออกมากลบเสียงหัวเราะของทุกคน
"เป็นอะไรยัยพิน ร้องไห้ทำไม" สมรข้องใจ
"พวก คุณใจร้าย ไม่นึกถึงจิตใจพินเลย พินมันคนอาภัพ มีรักก็เป็นรักลวง น้อยใจตัวเองนัก ชาตินี้จะได้พบได้เจอผู้ชายดีๆอย่างผู้ใหญ่ลีกะเขาบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้" ว่าแล้วพินก็ยกจานชามเดินร้องไห้ออกไป

"ยัยมา ฉันว่าแกปล่อยให้แม่บ้านแกฟังละครวิทยุมากไปแล้วละ สำนวนโวหารยังกะบทกวี" วลัยโพล่งขึ้นมา ขณะที่สมรกลับทำท่าเหมือนคนละเมอ
"ฉัน น่ะเคยปลงตกซะแล้วว่าผู้ชายในโลกนี้น่ะคงไม่ โคจรมาเจอผู้หญิงสวยๆอย่างฉันได้หรอก แต่แกจะว่าฉันกลืนน้ำลายตัวเองฉันก็ยอมละ ตั้งแต่ฉันได้รู้จักผู้ชายที่ชื่อผู้ใหญ่ลี... กรี๊ด..." สมรกรี๊ดอย่างสุดจะกลั้น ประดิษฐ์เดินเข้ามาทันได้ยิน ต่อว่าอย่างไม่พอใจ
"ชื่นชมมันเข้าไป อีกหน่อยมันก็คงกลายเป็นเทวดาหรอก"
"ไม่ ต้องอีกหน่อยหรอก ตอนนี้ผู้ใหญ่ลีเขาก็เป็นเทวดาสำหรับใครหลายๆคนอยู่แล้วนายดิ๊ก รวมฉันด้วยคนนึง" วลัยลอยหน้าตอบโต้ ประดิษฐ์ยิ่งฮึดฮัดขัดใจ
"ก็คอยดูแล้วกันว่ามันจะเป็นเทวดาได้ซักกี่น้ำ" ประดิษฐ์ ปึงปังออกไปทันที

ooooooo

เมื่อรู้ว่ามาลินีรับเหว่ากับเฉลาเข้ามาอยู่ในบ้านโดยไม่บอกทางบ้านลีนวัตร สมรกับวลัยอดเป็นกังวลไม่ได้ กลัวลีนวัตรจะมาโกรธเคืองมาลินี แต่มาลินีก็ยืนยันว่าเธออยากช่วยสองคนนี้จริงๆ อีกอย่างพวกเขา ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ถ้าลีนวัตรยอมเปิดใจบ้าง ทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
แต่ยามนี้ แม่ปุยแทบจะกินข้าวเคล้าน้ำตา เสียใจที่ลูกสาวหนีหายไปกับผู้ชาย ลีนวัตรเองก็กลุ้ม นอนไม่หลับ ทั้งคืน งานการอะไรก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำ เมื่อมาลินีมาที่บ้าน แม่ปุยถึงกับน้ำตาร่วงเผาะ พูดไปสะอื้นไปอย่างน่าสงสาร
"เด็กมันไม่รักดีค่ะคุณ มันไปแล้ว มันไม่นึกถึงหัวอกแม่มันซักนิด มันเห็นผู้ชายสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น มันน่าเจ็บใจนัก ลูกหนอลูก"
"คุณป้าใจเย็นๆนะคะ เฉลาคงไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ วันสองวันแกก็คงจะกลับมาเอง"
แม่ปุยได้แต่ส่ายหน้าทำใจลำบาก ลีนวัตรที่นั่งฟังอยู่ มุมหนึ่ง ลุกขึ้นเดินออกไปเงียบๆ มาลินีมองตามแล้วหันมาปลอบใจแม่ปุย
"เฉลา เป็นเด็กดีนะคะคุณป้า อย่างน้อยหนูก็เชื่อว่าแกรู้ผิดชอบชั่วดี เพียงแต่แกรู้สึกว่าแกถูกบังคับจิตใจเกินไป แกกำลังพยายามหาทางออกให้ตัวแกเองอยู่เหมือนกันนะคะ คุณป้า เชื่อหนูนะคะ แกต้องปลอดภัยแล้วก็สบายดี คุณป้าอย่าห่วงแกเลยนะคะ"
จากนั้นมาลินีลงไป คุยกับลีนวัตรที่หน้าบ้าน อยากรู้ว่าเขาจะจัดการยังไงกับเรื่องนี้ ลีนวัตรจะไปแจ้งความ หลังจากเฉลาหายไปครบยี่สิบสี่ชั่วโมง มาลินีตกใจขอร้องอย่าให้เป็นคดีความได้ไหม
"ยังไงผมก็ต้องเอาเรื่องไอ้เหว่าให้ถึงที่สุด มันล่อลวงน้องสาวผม"
"ใครจะไปรู้ เฉลาอาจจะยินยอมพร้อมใจไปกับนายเหว่าเองก็ได้นี่คะ"
"คุณอย่ามาทำเป็นรู้ดี"
"แต่ถ้าคุณฟังฉันตั้งแต่ต้น ไม่ใช้วิธีเผด็จการอย่างที่ทำมา เรื่องมันก็คงไม่เลวร้ายจนถึงขั้นนี้หรอกค่ะ"
ระหว่างนี้รถผู้ใหญ่โหมดแล่นเข้ามาขัดจังหวะ ปทุมลงจากรถแถเข้ามาหาลีนวัตรทันที
"พี่ ลีจ๋าพี่ลี ตกลงน้องสาวพี่ลีหนีตามผู้ชายไปจริงๆใช่ไหมจ๊ะ...ตายแล้ว...แล้วตรวจดูเงิน ทองของมีค่าดูรึยัง ว่าอะไรหายไปบ้าง ทุมว่าลงอีแบบนี้ไอ้ผู้ชายมันต้องนัดเอาไว้ล่วงหน้าให้ยกเค้าไปด้วยแหงๆ แสบจริงๆเลย ไอ้คนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคายังงี้ จับได้มันต้องยิงทิ้งอย่างเดียว น้องสาวพี่ลีนี่ก็โง้โง่ ไอ้บ้านั่นมันไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรด้วยหรอก มันฟันแล้วก็ทิ้ง สุดท้ายก็ท้องโย้ซมซานกลับมา เอาหลานมาให้พี่ลีเลี้ยง ไม่เชื่อก็คอยดูสิ"
"นี่คุณ...ในมื่อยังไม่รู้อะไรก็อย่าพูดมากนักเลย"
"ต๊าย...แล้วหล่อนคิดว่าหล่อนรู้อะไรบ้างยะ เสนอหน้ามาซะทุกเรื่อง เป็นญาติพี่น้องก็ไม่ใช่"
"ทุมเอ๊ยทุม พูดอะไรอย่างนั้น คุณเขาเป็นเพื่อนบ้านผู้ใหญ่ลีนะโว้ย" พ่อปรามลูกสาว
"ก็ อีแค่เพื่อนบ้าน จะมารู้ดีกว่าแฟนอย่างทุมได้ยังไง จริงไหมจ๊ะพี่ลีจ๋า" ปทุมฉอเลาะลีนวัตร หางตาเย้ยมาลินี ลีนวัตรเฉย ไม่ตอบหรือปฏิเสธ มาลินีหน้าตึง เดินจากมาอย่างขัดใจ
ผู้ใหญ่โหมดขึ้นไปปลุกปลอบแม่ปุย ที่เอาแต่ร้องไห้ ปวดใจกับการกระทำของลูกสาว แม่ปุยรับรู้ถึงความอาทรของผู้ใหญ่โหมด แต่มันก็ยังยากจะทำใจอยู่ดี
มาลินี กำชับพินที่เพิ่งรู้ว่าเหว่ากับเฉลาเข้ามาอยู่ในบ้าน มาลินีขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แม้แต่ประดิษฐ์ก็อย่าให้รู้เด็ดขาด แต่วันเดียวกันนี้ประดิษฐ์ก็ไปรู้จากปทุมที่เจอกันโดยบังเอิญว่าน้องสาวลี นวัตรหนีตามคนงานชื่อเหว่าไป
ตกตอนบ่าย ลีนวัตรมาขอยืมอุปกรณ์การเกษตรที่บ้านมาลินี วลัยกับสมรต้องช่วยกันพาเหว่าและเฉลาซ่อนตัวจ้าละหวั่น ขณะที่มาลินีก็คอยต้อนลีนวัตรไปมา จนกระทั่งลีนวัตรได้ของแล้วกลับออกมาโดยไม่เจอเหว่ากับเฉลา ทุกคนก็พากันโล่งอก
"เจอของที่ต้องการไหมคะ" มาลินีเดินตามมาถามลีนวัตร
"เจอครับ ได้ครบแล้ว คงต้องขอยืมคุณไปใช้ก่อน ของผมไอ้เหว่ามันมักง่าย หยิบไปใช้แล้วไม่เก็บคืนที่ หายไปไหนก็ไม่รู้"
"คุณพาลนายเหว่าเขามากกว่ามั้งคะ"
"ผมไม่เคยมีอคติกับใคร"
"ไม่จริงหรอกค่ะ ลึกๆแล้วคุณก็รู้สึกว่าคนการศึกษาน้อยอย่างนายเหว่าไม่ได้คู่ควรกับน้องสาวคุณ"
"ถ้าคุณเป็นผมคุณก็ต้องรู้สึกอย่างเดียวกัน"
"มันก็ไม่แน่หรอกค่ะ"
"ยัง ไงผู้ชายก็คือผู้นำครอบครัว...คุณมา ผมไม่เถียงหรอกว่าบางครอบครัวผู้หญิงก็ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำได้ แต่ไม่ใช่ ไอ้เหว่ากับน้องสาวผมแน่ ถ้ามันคิดว่ามันแน่จริงมันก็ต้องกลับมาทำให้ผมเห็นสิว่ามันจะปกป้องดูแลน้อง สาวผมได้ยังไง ไม่ใช่ใช้วิธีแบบนี้"
"ผู้ใหญ่ลีคะ หมายความว่า...ถ้านายเหว่าพาเฉลากลับบ้าน คุณจะหายโกรธแล้วก็ยกโทษให้ใช่ไหมคะ"
"ผมโกรธที่น้องสาวผมมันกล้าพูดว่าจะเลิกเรียนหนังสือ มันไม่มีความคิดแล้ว มันถึงได้เอาอนาคตตัวเองมาเป็นเรื่องต่อรอง"
"แต่คนเราจะอยู่ได้ยังไงคะ ถ้าไม่มีความรัก"
"คุณกับผมมองเรื่องนี้กันคนละด้านอย่างสิ้นเชิง"
"หมายความว่า เราต้องเป็นศัตรูกัน"
"คุณ มา...คุณรู้ดีว่าความรักอะไรก็ไม่สำคัญเท่ารักในศักดิ์ศรีของตัวเอง พวกผมเกิดมาเป็นชาวนา แล้วก็คงเป็นชาวนาไปจนกว่าจะตาย ชาวนาส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเหยื่อ ต้องเสียเปรียบหลายอย่างก็เพราะความไม่รู้ ผมไม่ได้อวดอ้างตัวเองว่าจะเป็นคนที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ แต่อย่างน้อยผมก็กำลังพยายาม...แล้วคนที่คิดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณนายวัน คุณยายของคุณเอง ท่านรู้ดีว่าการให้การศึกษา มันคืออาวุธอย่างเดียวที่ชาวนาอย่างพวกเราจะเอาไปใช้รบราฆ่าฟันกับการถูกเอา รัดเอาเปรียบได้ ผมหวังว่าคุณมาจะพอเข้าใจผมขึ้นมาบ้างนะครับ"
ลีนวัตร เดินจากไป มาลินีอื้ออึงเมื่อได้ยินได้ฟังความในใจของเขา เธอเข้าใจเขาขึ้นมามากทีเดียว...ครู่ต่อมา เฉลากับเหว่าก็มานั่งหน้าจ๋อยฟังมาลินีถ่ายทอดคำพูดของลีนวัตร โดยมีวลัย สมร และพินร่วมฟังอยู่ด้วย วลัยกับสมรเห็นตรงกันว่าลีนวัตรมีเหตุผลที่โกรธเฉลากับเหว่า ตอนแรกพวกเธอคิดว่าเขาแค่หน้าบางอับอายผู้คน
"เหลา...ยิ่งได้ฟังพี่ ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกระจอกสิ้นดี พี่ว่า พี่ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว พี่จะพาเหลากลับไปส่งบ้าน" ขาดคำของเหว่า ประดิษฐ์ก็โผล่พรวดออกจากที่ซ่อน
"ฉันรู้แล้วยัยพิน ว่าทำไมแกถึงกันท่าฉันไม่ให้เข้ามาที่นี่ ฉันจะไปบอกผู้ใหญ่ลีว่าไอ้บ้านี่แอบพาน้องสาวเขามาอยู่ที่นี่เอง แกเสร็จแน่ไอ้คนงานกระจอกเอ๊ย"
ทุกคนแตกตื่นตกใจ รีบวิ่งตามประดิษฐ์ออกไป
ในที่สุดประดิษฐ์ก็ถูกพวกวลัยจับตัวเข้าไปขังในห้องที่เรือนเล็ก หมดโอกาสปากโป้ง...

เย็นนั้น มาลินีตั้งใจมาเยี่ยมแม่ปุยที่ซูบซีดยังไม่ยอมกินข้าวกินปลา แต่พอรู้จากฉลวยว่าลีนวัตรกำลังจะไปแจ้งความเรื่องเฉลาหายตัวไป มาลินีก็รีบร้อนลงจากเรือนไปห้ามลีนวัตร ที่กำลังสตาร์ตรถ โดยให้เหตุผลว่า เธอกลัวเฉลาจะอับอายผู้คน ลีนวัตรกลับบอกว่า ไม่มีอะไรต้องอายอีกแล้ว มาลินีร้อนใจ เผลอปากว่าภายในวันสองวันนี้ยังไงเฉลาก็ต้องกลับมา ลีนวัตร เลยสงสัยว่ามาลินีรู้ได้ยังไง
มาลินีตอบอึกๆอักๆว่าเดาเอา ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน และเป็นเพื่อนบ้านที่หวังดี เคยมีความรู้สึกดีๆต่อทุกคนในบ้านของเขา อีกทั้งคุณยายของเธอก็เป็นคนที่เขา เคารพนับถือ เธอเชื่อว่าถ้ายายยังอยู่ ท่านก็ต้องคิดและทำอย่างเธอเหมือนกัน
"นะคะ...ผู้ใหญ่ลี ฉันขอร้อง อย่าเพิ่งไปแจ้งความให้ เรื่องนี้กลายเป็นคดีขึ้นมาเลย"
ลี นวัตรนิ่งไปชั่วขณะก่อนผละออกจากรถ มาลินีค่อยโล่งใจที่เหตุผลของเธอสามารถเปลี่ยนใจลีนวัตรได้...แต่พอเช้าอีก วัน มาลินีก็มีเรื่องให้หนักใจขึ้นมาอีก เมื่อพินพาทองใบ มาฝากทำงานบ้าน จะให้ทองใบทำอะไรก็ได้ แล้วแต่จะใช้ เพราะพินต้องการให้ทองใบปรับปรุงตัวทำงานทำการเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่กินเหล้าเมาไร้สาระไปวันๆ
หลังตกปากรับคำกับพินเรียบร้อย แล้ว มาลินีมุ่งหน้าไปบ้านลีนวัตร เป็นเวลาปลอดคนพอดี มาลินีจึงแอบพาแม่ปุยมาที่บ้านของเธอ แล้วให้เฉลากับเหว่าออกมากราบขอโทษ แม่ลูกเลยบ่อน้ำตาแตก กอดรัดกันด้วยความรักแห่งสายใย... มาลินีดีใจที่แม่ปุยยกโทษให้เฉลากับเหว่า
"จะผิดพลั้งยังไงมันก็ลูกนี่ คะคุณ ต่อให้มันทำเรื่องน่าเสียใจขนาดไหน ก็ยกโทษให้มันได้อยู่ดี ป้าสบายใจขึ้นเยอะ เชียวค่ะ นี่ถ้าผู้ใหญ่ลีเขารู้ เขาก็คงเลิกกลุ้มซะทีเหมือนกัน"
"แต่คุณป้าจะให้ผู้ใหญ่ลีรู้ตอนนี้ไม่ได้นะคะ ไม่งั้นคนที่ต้องซวยที่สุดงานนี้ ไม่พ้นหนูแน่ๆค่ะ"
จาก นั้นมาลินีก็ออกไปพบลีนวัตรกลางทุ่งนา พูดคุยกันเรื่องข้าวใกล้จะเก็บเกี่ยวได้ แล้วถือโอกาสชวนเขามากินข้าวกลางวันที่บ้านของเธอ อ้างว่าเพื่อนๆของเธออยากเลี้ยง ความจริง มาลินีจะให้เหว่ากับเฉลาปรากฏตัวกราบขอขมาลีนวัตร แต่สุดท้าย มาลินีก็ยังไม่กล้าอยู่ดี ได้แต่พูดคุยกรุยทางให้ไปก่อน จน กระทั่งค่ำได้เวลาอาหารอีกมื้อที่มาลินีมาร่วมวงกับครอบครัวลีนวัตรด้วย ลีนวัตรถึงรู้ความจริงว่าเหว่ากับเฉลาหลบไปอยู่บ้านมาลินี และแม่ปุยกับคนอื่นๆในบ้านก็รู้เรื่องนี้หมดแล้วด้วย
เฉลากับเหว่าเข้า มากราบขอขมาลีนวัตรด้วยความสำนึกผิด ทุกคนลุ้นกันใหญ่ว่าระเบิดจะลงหรือเปล่า แต่ลีนวัตร ก็เงียบ ไม่ดุด่าทั้งคู่ หากแต่เกิดอาการงอนมาลินีที่ไม่ยอมบอกแต่แรก จึงลุกหนีออกไปนอกบ้าน มาลินีต้องรีบตามไปอธิบาย แต่ลีนวัตรกลับเปิดฉากขึ้นก่อนด้วยความน้อยใจ
"ทุกคนเห็นผมเป็นตัวตลก"
"ไม่ เลยค่ะ ทุกคนกลัวคุณมากกว่า ถึงต้องใช้วิธีนี้ ฉันว่าฉันเข้าใจคุณนะคะ คุณเหมือนหัวหน้าครอบครัวที่คาดหวัง ว่าทุกคนจะเดินตามทางที่คุณกำหนด แต่คุณต้องไม่ลืมนะคะว่าท้ายที่สุดแล้ว แต่ละคนเขาก็มีชีวิตของตัวเอง ฉันขอโทษถ้าคุณคิดว่าฉันเข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายเกินไป ฉันกลับละค่ะ ดึกแล้ว"
"ผมจะไปส่ง"

มาลินีชะงัก หันกลับมายิ้ม "ฉันคิดว่าจะไม่ได้ยินคำนี้ ซะแล้ว"
หนุ่ม สาวยิ้มให้กัน แล้วพากันกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ขณะเดียวกันนี้ วลัยกับสมรพลาดท่าปล่อยประดิษฐ์หลุดออกจากห้องไปได้ ประดิษฐ์โกยอ้าวไปบ้านลีนวัตรเพื่อบอกเรื่องเหว่ากับเฉลาหลบอยู่ที่บ้าน มาลินี แต่ต้องมาเจอทั้งเหว่าและเฉลาอยู่ที่นี่ครบ ประดิษฐ์เลยได้แต่หงุดหงิดหัวเสียกลับไป
เช้าอีกวัน ปื๊ดมาช่วยมาลินีเก็บไข่ไก่ วลัยกับสมรก็ลงมาแจมด้วย แต่วันนี้ทุกคนผิดหวังที่ไข่ไก่มีแค่สองสามฟอง ไม่มากเหมือนทุกวัน ปื๊ดบอกว่าสงสัยอากาศร้อนเกินไป ไก่มันเครียด เลยไม่ออกไข่ สามสาวเพิ่งรู้ว่าไก่ก็เครียดเป็นเหมือนกัน จากนั้นก็ช่วยกันคิดหาวิธีจะทำให้ไก่หายเครียด พอเรื่องนี้รู้ถึงหูลีนวัตร ลีนวัตรจึงรับปากมาลินีว่าเขาจะช่วยจัดการให้เอง
ทองใบยังขี้เกียจตัว เป็นขนเหมือนเดิม มาลินีให้ถางหญ้า ทองใบก็แอบหลับ แถมกรนเสียงดังได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน...ประดิษฐ์ก็เช่นกัน วันๆทำตัวลอยไปลอยมา เดี๋ยวก็โผล่ ไปร้านผู้ใหญ่โหมด ช่วยกันวางแผนกับสองพ่อลูกเพื่อแยกลีนวัตรกับมาลินีออกจากกัน เสร็จแล้วเขาก็กลับมาตอแยมาลินี แถมพูดจาดูถูกเหยียดหยามลีนวัตรหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ที่ประดิษฐ์เข้าใจว่าลีนวัตรจบแค่มัธยม มาลินีสุดจะเบื่อ ลุกขึ้นเดินหนี แต่ประดิษฐ์ก็ยังตามไม่เลิก นึกได้ว่ามีข่าวดี ผู้จัดละครช่อง 3 ติดต่อเขามา อยากให้มาลินีไปเล่น ละครให้ ซึ่งเขาเจาะจงไปแล้วว่าต้องเป็นบทนางเอกเท่านั้น แล้วก็เรียกค่าตัวไปแล้วด้วย ตอนละหกหมื่น เผื่อเขาต่อรอง ปรากฏว่าเขาไม่ต่อเลยสักบาท
แทนที่จะได้ยินคำขอบคุณจากมาลินี ประดิษฐ์กลับได้ยินคำต่อว่า มาลินีไม่พอใจที่ประดิษฐ์รับปากเขาไปแล้ว โดยไม่ถามเธอก่อนสักคำ
"ก็ ดิ๊กชัวร์ว่ามาต้องเล่นนี่ครับ แล้วอีกอย่างเขาอยากได้คำตอบเร็วๆด้วย ดิ๊กก็เลยเซย์เยสไปเลย อาทิตย์หน้าเขาจะขอฟิตติ้ง แล้วจะเปิดกล้องเลย"
"อาทิตย์หน้าฉันไม่ว่าง เพราะต้องเกี่ยวข้าว"
"มา... ละครเล่นง่ายๆ ถ่ายแป๊บเดียวก็เสร็จ วันหนึ่งได้ตั้งสามสิบสี่สิบฉาก มาไม่ต้องทำอะไรมากมายเลย ปัดขนตาให้สวยอย่างเดียวให้คนดูชอบก็พอแล้ว ทำงานสองสามเดือน เราก็ได้เงินเป็นล้านนะ"
"คุณโทร.ไปบอกเขาเถอะว่าฉันไม่ว่าง"
"มา...เกี่ยวข้าวน่ะมันเรื่องเล็กให้ใครทำก็ได้"
"แต่ฉันอยากทำงานของฉันเองมากกว่า เพราะมันเป็นนาของฉัน" มาลินียืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ประดิษฐ์เลยไม่กล้าเซ้าซี้เธออีก
ตก กลางคืน พินทะเลาะกับทองใบเสียงดังลั่นบ้าน มาลินีกับวลัยและสมรตกใจวิ่งกรูมาดูที่ห้อง เห็นพินกำลังระดมทั้งหมัดทั้งแข้งใส่ทองใบ แต่ปากพินดันบอกว่าทองใบทำร้ายเธอ พินรำพันเสียใจที่ทองใบไม่ปรับปรุงตัว ยังกินเหล้า เมายาทุกวัน
"กินแค่เป็นยา เข้าใจกันบ้างสิโว้ย" ทองใบเถียง
"เมา เป็นหมาทุกวัน ยาบ้านมึงสิ" พินด่าพร้อมกับโถมแข้งเข้าใส่จนทองใบจุกแอ่ก "อยากกินก็กลับไปกินบ้านมึงโน่น รู้จักเกรงอกเกรงใจคุณมาเธอมั่ง แล้วมึงกับกูขาดกันตั้งแต่วันนี้ไอ้ทองใบ กูไม่เอามึงแล้ว ตัวใครตัวมัน"
"นายทองใบหอบที่นอนหมอนมุ้งไปนอนที่อื่นก่อนไป ไม่งั้นคืนนี้ไม่มีใครได้พักผ่อนแน่"
ทอง ใบลุกขึ้นหอบสัมภาระออกไปตามที่มาลินีบอก เสียงด่าของพินยังดังไล่หลัง...ไปแล้วอย่ากลับมาให้เห็นหน้านะมึง...ด่าจบ พินก็ร้องไห้ฮือๆ สมรต้องปลอบพินใจเย็น พิน กลับคร่ำครวญว่าเลือกผัวผิด คิดจนตัวตายจริงๆ เจ็บใจนัก...
"อยู่ตัวคนเดียวเป็นนางสาวไปจนแก่ตายซะ ยังดีกว่า จริงไหมยัยพิน" วลัยถามขึ้นมา พินเอาแต่ร้องไห้ พยักหน้า หงึกหงัก มาลินีเห็นแล้วถอนใจ กลุ้มแทน...

ooooooo

ถึงเวลาถวายต้นกฐิน ปทุมเข้ามานั่งกระแซะลีนวัตร จะให้ลีนวัตรรับปากเป็นหัวคะแนน ถ้าพ่อของเธอลงสมัครสมาชิกสภาจังหวัด ลีนวัตรนึกระอากับความไม่รู้กาลเทศะของปทุม บอกเอาไว้คุยกันทีหลัง พอวลัยกับสมรรู้จากมาลินีว่าปทุมชอบตู่ว่าเป็นแฟนลีนวัตร สองสาวจึงคลานเข้าไปขัดคอ แถมตัดหน้าปทุมที่ชวนลีนวัตรเที่ยวงานวัดคืนนี้ วลัยกับสมรอ้อนอยากนั่งชิงช้ากับลีนวัตร แต่ลีนวัตรบอกว่ามีที่นั่งกระเช้าละสองคน วลัยจึงเสียสละนั่งตักลีนวัตรก็ได้ ปทุมได้ยินแล้วแทบจะกรี๊ดกลางศาลา
ประดิษฐ์ นั่งหน้าหงิกอยู่ที่บ้าน พอเห็นทุกคนเริงร่าอารมณ์ดีกลับเข้ามา เขาต่อว่าพวกเธอทิ้งเขาไว้คนเดียว ตั้งแต่ เช้าเขายังไม่ได้กินข้าว มาลินีบอกว่าข้าวอยู่ในครัว แกงก็มี พินทำไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ประดิษฐ์เกี่ยงว่าไม่ชอบกินกับข้าวเก่าๆ มาลินีจึงให้ทอดไข่ที่มีมากมาย ประดิษฐ์ก็ไม่ทำเองอีก บอกว่าเกลียดกลิ่นอาหารติดตัว วลัยเลยไล่ส่งให้ไปกินที่วัด ประดิษฐ์ จำใจออกไป เดินเตร่วางฟอร์มผ่านมาถึงมุมตั้งอาหารเลี้ยงชาวบ้าน เขาแอบกลืนน้ำลาย แต่จะออกปากขอกินก็กลัวเสียเชิง กระทั่งฉลวยหันมาเห็น ชวนเขากินข้าวด้วยกัน ประดิษฐ์ไว้เชิงว่ากินมาแล้ว แต่ถ้าน้องจะกิน พี่ก็นั่งกินเป็นเพื่อนได้ ฉลวย รู้สึกว่าตัวเองได้รับเกียรติอย่างสูง รีบเชิญเขานั่ง เดี๋ยวจะตักข้าวมาให้
"ไม่ต้องเยอะนะครับน้อง เอานิดเดียว พี่กลัวอ้วน แล้ว ก็เผ็ดๆพี่กินไม่ได้นะครับ ขมๆด้วย ไม่เอาต้นหอม ผักชี ผักเหม็นๆ อย่าใส่มานะครับ"
ไม่ถึงอึดใจ ฉลวยก็หันกลับมาพร้อมข้าวราดแกงพูนจาน "คุณบอกช้าไปหน่อยเดียวเองจ้ะ แต่แกงนี่ไม่เผ็ดเท่าไหร่ หรอก คุณลองกินดูก่อนนะจ๊ะ"
ประดิษฐ์รับจาน ข้าวมาตักกิน ทีแรกเขาฟอร์มจัด บอกว่ารสชาติแค่พอกินได้ แต่พอฉลวยคล้อยหลังไปเอาน้ำ เขาก็หมดฟอร์ม ตักข้าวใส่ปากราวกับตายอดตายอยากมาแรมปี

ooooooo

ตก กลางคืนทุกคนมาเที่ยวงานวัด วลัยกับสมรท่าทางจะสนุกสนานกว่าใคร เพราะงานนี้มีของกินแสนอร่อยหลายอย่าง มีเกมต่างๆให้เล่น และมีหนังกลางแปลงให้ดู แต่คนที่หงุดหงิดผิดหวังเห็นจะเป็นพิน พินอ้อนทองใบขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน แต่ทองใบกลับวิ่งหนีไปดื้อๆ พินเลยฮึ่มฮั่มจะเอาเงินคืนทั้งต้นทั้งดอกจากทองใบ
ส่วนบนศาลา ผู้ใหญ่ลีและกรรมการวัดกำลังนับเงินทำบุญของญาติโยมต่อหน้าหลวงพ่อ แต่แล้วเกิดสิ่งไม่
คาด คิด เงินของผู้ใหญ่โหมดที่ติดต้นกฐินล้วนเป็นแบงก์ปลอม หลวงพ่อจึงให้ผู้ใหญ่ลีลงไปตามผู้ใหญ่โหมดขึ้นมาพบ แล้วหลวงพ่อกับลีนวัตรก็พูดคุยกับผู้ใหญ่โหมดอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่โหมดต้องอับอายขายหน้า แต่ถึงกระนั้นผู้ใหญ่ โหมดก็รู้สึกเสียหน้าอย่างมาก หงุดหงิดกลับออกไปพร้อมแบงก์ปลอม ปทุมที่ยังอยากอยู่เที่ยวงานต่อ ก็จำใจตามพ่อกลับบ้านไปด้วย
อีกมุมหนึ่ง มีการประกวดดาวรุ่งแห่งคลองหมาหอน ปรากฏว่าฉลวยที่เข้าประกวดกับเขาด้วยได้รางวัลชนะเลิศ ครั้นกลับถึงบ้านฉลวยก็เริ่มฝันเฟื่องอยากไปประกวดเวทีใหญ่ๆ ด้านลีนวัตรนึกเป็นห่วงเฉลาที่หายไปตั้งแต่สามทุ่ม จนคนอื่นเขากลับบ้านกันหมด เฉลาก็ยังไม่เห็นโผล่
ขณะลีนวัตรลงมาดูควายที่คอก เขาตกใจแทบไม่เชื่อสายตา เหว่ากับเฉลากำลังจับมือถือแขนออดอ้อนกันอย่าง
คน รัก ความตกใจของลีนวัตรกลายเป็นความโกรธ เขาพุ่งเข้าชกหน้าเหว่าเต็มหมัด และประกาศไล่เหว่าออก พรุ่งนี้เช้าอย่าได้มาให้เขาเห็นหน้าอีก ไม่งั้นมึงตายแน่ ส่วนเฉลาก็
ถูกลีนวัตรดุไปมากเหมือนกัน เฉลาเอาแต่ร้องไห้เสียใจที่
พี่ชายไม่ยอมเข้าใจ แม่ปุยรู้เรื่องเข้าก็พลอยไม่สบายใจไปด้วยอีกคน
ลี นวัตรอารมณ์เสียตั้งแต่เมื่อคืน เช้าขึ้นก็ยังขุ่นมัวไม่ค่อยพูดกับใครแม้แต่มาลินี พอเหว่าโผล่มาให้เห็น เหว่าอยากจะอธิบายให้ลีนวัตรเข้าใจ แต่ลีนวัตรไม่ฟัง แถมดุด่าทำท่าจะเอาเรื่องเหว่าอีก มาลินีตกใจไม่เคยเห็นลีนวัตรอารมณ์รุนแรงแบบนี้ ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลีนวัตรไม่ยอมพูดอะไรกับเธอสักคำ
เมื่อไม่ได้คำตอบจากลีนวัตร มาลินีจึงขึ้นเรือนไปถามแม่ปุยที่นั่งกอดเข่าหน้าเศร้าหมอง
"เด็กมันไม่รักดีค่ะคุณ ส่งเสียให้มันได้เรียนหนังสือ มันกลับไม่เห็นค่า แถมยังทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองซะอีก
พูดก็แล้วสอนก็แล้ว ว่าเกิดเป็นลูกผู้หญิงอย่าได้ชิงสุกก่อนห่าม มันก็ไม่ฟัง มันเจ็บกระดองใจจริงๆ เด็กสมัยนี้เรียนสูงกัน
ซะเปล่า แต่ปัญญามันไม่ได้สูงตามไปด้วยเลย"
"คุณป้าคะ อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยค่ะ จะว่าไปมันก็เป็นธรรมชาติของเด็กวัยรุ่น อารมณ์ความรู้สึกมันมักจะอยู่เหนือเหตุผลเสมอค่ะ"
"แต่รู้ถึงไหนมันก็อายเขาไปถึงนั่นนะคะคุณ"
"หนูว่ายังไงมันก็ยังไม่สายเกินไปหน่อยค่ะ เราน่าจะยังมีทางออกสำหรับเรื่องนี้อยู่"
จาก นั้นมาลินีเข้าไปหาเฉลาที่ร้องไห้อยู่ในห้อง เฉลารำพันว่าเธอเกลียดพี่ลี พี่ลีใจดำไม่มีเหตุผล เธอกับพี่เหว่ารักกันแล้วมันผิดตรงไหน
"ผู้ใหญ่เขาก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเองจ้ะ" มาลินีปลอบ
"บังคับกันขนาดนี้ คอยดูเหลาจะหนีออกจากบ้าน เหลาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว"
"ใจ เย็นๆ อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะมันจะยิ่งทำให้อะไรๆแย่ลงไปอีก ปัญหาทุกอย่างมันมีทางแก้ทั้งนั้น ใจเย็นๆนะเหลา ฉันจะช่วยเหลาเอง"
ออก จากห้องเฉลา มาลินีกลับลงไปคุยกับลีนวัตร เธออยากให้เขาเลิกกีดกันเหว่ากับเฉลา เพราะเหว่าเป็นคนดี นิสัยดี และขยันทำมาหากิน แต่ลีนวัตรแย้งว่า น้องของตนยังเรียนหนังสืออยู่
"เรียนก็เรียนไปสิคะ อีกปีเดียวก็จะจบแล้ว ฉันว่าคุณใช้วิธีกีดกันแกออกจากกันอย่างนี้มันไม่ถูก คุยกับแกดีๆ ฉันว่าแกก็ต้องเข้าใจ"
"คนอย่างไอ้เหว่ามันกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา"
"คุณมีอคติกับนายเหว่าเกินไป ความรักมันห้ามกันได้ที่ไหน"
"คุณจะใช้วิธีอย่างคนกรุงเทพฯมาตัดสินเรื่องนี้ไม่ได้"
"จะ คนกรุงเทพฯหรือที่ไหนปัญหามันก็เหมือนกันทั้งนั้น โลกสมัยนี้มันไร้พรมแดนแล้วนะคะผู้ใหญ่ลี คุณจะมามัวปิดตาตัวเองอยู่อย่างนี้มันก็ใจแคบเกินไปแล้ว ถ้าขืนคุณยังใช้ วิธีเผด็จการทุกอย่างโดยไม่แคร์ความรู้สึกของน้องสาวคุณเลย คุณอาจจะต้องเสียใจกว่านี้ ถ้าแกเกิดตัดสินใจทำอะไรๆที่คุณ คาดไม่ถึงขึ้นมา"
"ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องภายในบ้านผม ผมจะจัดการยังไงมันก็เป็นเรื่องของผม"
"ฉัน ได้รู้จักคุณดีขึ้นก็วันนี้เอง ผู้ใหญ่ลี" มาลินีเสียความรู้สึก เดินลิ่วๆอารมณ์บูดกลับบ้าน ระหว่างทางเจอเหว่า นั่งคอตกกอดกระเป๋าเสื้อผ้า เหว่าบอกมาลินีว่า ตนแค่อยากจะเห็นหน้าเฉลาเป็นครั้งสุดท้าย แต่คงไม่มีโอกาส เพราะผู้ใหญ่ลีไล่ตนออกจากงานแล้ว มาลินีเห็นใจและอยากให้เหว่าสู้เพื่อความรัก...มาลินีตัดสินใจชวนเหว่ามาพัก ที่บ้านชั่วคราว ให้ อยู่ห้องที่พินเคยอยู่ เพราะพินเพิ่งไปอยู่กินกับทองใบ แต่พินยังมาทำงานบ้านที่นี่เหมือนเดิม
แม่ ปุยเสียใจเรื่องเฉลาจนไม่ยอมกินข้าวกินปลา เฉลาคะยั้นคะยอก็ไม่เป็นผล เฉลาเลยพูดประชดประชันว่าจะเลิกเรียนหนังสือ ยิ่งทำให้แม่ปุยกลุ้มหนัก...เช้าขึ้นเห็นลูกๆเตรียมตัวออกไปเรียน แม่ปุยกำชับให้เฉลาตั้งใจเรียน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน เฉลาไม่พูดอะไร เดินออกมาเจอลีนวัตรยืนมองอยู่
"เอ็งคิดจะทำอะไรก็นึกถึงแม่เอาไว้บ้าง เรื่องแค่นี้ถ้าเอ็งไม่รู้จักอดทน วันข้างหน้าเอ็งจะลำบากกว่านี้"
เฉลาเงียบอีกตามเคย เดินผ่านไปโดยไม่สบตาพี่ชาย แม่ปุยรีบเข้ามาหาลีนวัตร
"น้องมันคงไม่คิดทำอะไรโง่ๆหรอกน่ะผู้ใหญ่"
"แม่คิดว่ามันจะทำอะไรล่ะ"
"เมื่อคืนมันพูดเหมือนประชดว่าจะเลิกเรียนหนังสือ"
"ถ้ามันทำอย่างนั้นจริงๆ มันก็คงไม่ใช่น้องของหนูอีกต่อไปแล้วละแม่"
ลี นวัตรออกไปท้องนา เจอมาลินีวางท่าปั้นปึ่งใส่ ลีนวัตร คิดได้ว่าเมื่อวานตนพูดจากับมาลินีแรงเกินไป จึงขอโทษเธอ แต่เธอกลับพูดหยันเขาด้วยความน้อยใจ
"แต่มันก็จริงนี่คะ ฉันมันคนอื่นไม่ใช่คนในครอบครัวคุณซักนิด คุณเป็นหัวหน้าครอบครัว คุณคงเคยชินกับการได้ออกคำสั่ง และทุกคนต้องทำตามคำสั่งของคุณ แต่คุณกีดกันความรัก ของน้องสาวตัวเอง ไม่ใช่เพราะคุณห่วงน้องสาวคุณหรอก คุณกลัวว่าคุณจะต้องอับอายที่มีน้องเขยเป็นแค่คนงานกระจอกๆคนนึงมากกว่า ฉันเข้าใจดีค่ะ" ว่าแล้วมาลินีก็ผละไปทันที...
ส่วนที่ตลาด เฉลากับฉลวยเพิ่งเลิกเรียน สองพี่น้องจะกลับบ้านด้วยกันทุกวัน แต่วันนี้เฉลาเห็นเหว่ามายืนคอย จึงหลอกให้ฉลวยไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวพี่จะตามไป แต่ฉลวยรอนานจนรถออก เฉลาก็ยังไม่กลับมา...เฉลาเอาแต่ร้องไห้ และบอกเหว่าว่า เธอไม่อยากกลับบ้าน เหว่าไม่รู้จะทำยังไง จึงพาเฉลาไปที่บ้านมาลินี แต่ขณะที่สองคนเดินจูงมือกันไปนั้น ปทุมเห็นเต็มสองตา เมื่อผู้ใหญ่ลีกับฉลวยออกตามหาเฉลาผ่านมาที่ร้านผู้ใหญ่โหมด ปทุมจึงเล่าให้ลีนวัตรฟัง และว่าเฉลาคงจะหนีตามเหว่าไปแล้ว...
แม่ปุยนั่งไม่ติดที่ เดินวนไปเวียนมาชะเง้อคอยฟังข่าวจากผู้ใหญ่ลีกับฉลวยที่ออกไปตามหาเฉลา ครั้นเห็น
สองพี่น้องหน้าหมองกลับมา แม่ปุยแทบจะถลาไปหา
"เป็นยังไงบ้างผู้ใหญ่ เจอนังเหลามันไหม"
"ไม่เจอหรอกแม่ มันหนีตามไอ้เหว่าไปแล้ว"
"หา!!" แม่ปุยอุทานได้คำเดียวก็เป็นลมล้มทั้งยืน โชคดี ที่ฉลวยกับลีนวัตรรับตัวไว้ได้ทัน

ooooooo

มาลินีกับพินตื่นแต่เช้าไปทำบุญที่วัดกับครอบครัวลีนวัตร ทุกคนยิ้มแย้มแช่มชื่นเข้ามานั่งในศาลาปะปนกับชาวบ้านที่มากันไม่น้อย แต่พอต้องเจอปทุมกับผู้ใหญ่โหมด บรรยากาศก็เริ่มกร่อย ปทุมพยายามใกล้ชิดลีนวัตรแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของข่มมาลินี แต่ที่สุดปทุมก็ต้องฮึดฮัดขัดใจ
ไปเอง เพราะมาลินีนิ่งเฉยทำเหมือนไม่ได้ยิน
ส่วนผู้ใหญ่โหมดนั้นก็จีบแม่ปุยไม่เว้นแม้แต่ในวัด เลยถูกพินดักคอจนเก้อไป เหว่ามากับเขาด้วยเหมือนกัน แต่
เจียม ตัวไม่ยอมขึ้นไปบนศาลา กระทั่งเฉลาต้องลงมาตาม ส่วนประดิษฐ์ที่ตื่นสายตามมาทีหลัง เขาเดินชนกับปทุมที่หงุดหงิดไม่ได้ดังใจมาจากลีนวัตร แล้วต่างคนต่างมองกันอย่างเป็นมิตร แนะนำชื่อแซ่และบ้านช่องกันเสร็จสรรพก่อนแยกกันไป
ประดิษฐ์ลุยเข้ามาตาม มาลินีอย่างไร้มารยาท ทั้งที่พระกำลังจะขึ้นศาลา ลีนวัตรขอร้องให้ประดิษฐ์นั่งลง หรือไม่ก็ลงไปรอข้างล่าง ประดิษฐ์ไม่ฟัง ด่าลีนวัตรและจะทำร้าย จนผู้ใหญ่โหมดต้องเข้ามากำราบด้วยท่าทีนักเลงโต นั่นแหละประดิษฐ์ถึงได้กลับออกไป ส่วนปทุมที่ยืนดูเหตุการณ์ก็เข้ามาดึงพ่อไปต่อว่า ว่าพ่อใจร้อนไม่เข้าเรื่อง กำลังจะได้ดูมวยคู่เอกอยู่แล้วเชียว เพราะผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนมาลินี ซึ่งปทุมคิดว่าผู้ชายคนนี้น่าจะมีประโยชน์กับเราบ้าง
จากนั้นปทุมรีบออก ไปหาประดิษฐ์ที่ยังหงุดหงิดไม่หายอยู่หน้าศาลา ปทุมต้องการความร่วมมือจากประดิษฐ์เพื่อแยกลีนวัตรกับมาลินีออกจากกัน แล้วเราทั้งคู่ก็จะได้แฟนของตัวเองคืนมา ประดิษฐ์ฟังแล้วยิ้มกริ่ม คิดในใจว่า ถ้าปฏิเสธก็บ้าแล้ว...
เสร็จจากการทำบุญ ผู้ใหญ่โหมดเดินมาเจอทองใบกำลังลูบคลำรถคันโก้ของตนอยู่ พอทองใบอยากมีแบบนี้บ้าง ผู้ใหญ่โหมดบอกไม่ยาก แค่ทองใบเอาที่นามาจำนอง ฝันนั้นก็จะเป็นจริง ทองใบได้ฟังก็ตาเป็นประกาย
มาลินีกลับถึงบ้านพร้อม พิน ทั้งคู่รู้สึกอิ่มบุญพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่แล้วประดิษฐ์ก็เข้ามาทำลายบรรยากาศ เตือนมาลินีด้วยเรื่องลีนวัตรที่มีปทุมเป็นแฟนอยู่แล้ว อีกทั้งเมียเก่ามันเป็นใครก็ไม่รู้ มาทำอะไรน่าจะคิดให้มากกว่านี้ คนอื่นจะได้ไม่ว่าเอาได้ว่าโง่
"ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขาเหอะ ฉันไม่ถือ เพราะก่อนหน้านี้ฉันผ่านความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ที่หลงคบอยู่กับคน อย่างคุณมาแล้วค่ะ ตอนนี้ฉันเลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร"
ประดิษฐ์เจ็บจี๊ด ที่ถูกศอกกลับเข้าเต็มหน้า มองตามมาลินีที่ลุกหนีไปอย่างขุ่นเคืองใจ ขณะเดียวกันนั้น ปทุมก็ตามตอแยลีนวัตรมาถึงหน้าบ้าน พูดจาถึงมาลินีอย่างหยาบคาย หาว่ามาลินีตั้งใจหลอกลีนวัตรทั้งที่มีผัวอยู่แล้วทั้งคน หรือพี่ลี
อยาก จะเป็นชู้กับเมียคนอื่น ลีนวัตรโต้ว่าตนคบกับมาลินีอย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วประดิษฐ์กับมาลินีก็เป็นแค่เพื่อนกัน ปทุมยิ้มเยาะ อยากหัวเราะให้ฟันร่วง เป็นแค่เพื่อนแล้วจะมาอยู่บ้านเดียวกันได้ยังไง พี่ลีนี่น่าสงสารจังเลย ทำไมถึงไร้เดียงสาอย่างนี้
"พี่จะคิดยังไงมันก็เรื่องของพี่ ทุมไม่ต้องมาเดือดร้อนแทนพี่หรอก"
"จะ ไม่ให้ทุมเดือดร้อนได้ยังไง ในเมื่อทุมน่ะรักพี่ลี ทุมไม่อยากเห็นพี่ลีกลายเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่นหรอก ยัยนั่นน่ะมาอ่อยพี่ลีเพราะแค่เห็นพี่ลีเป็นของแปลกสำหรับเขาก็เท่านั้นเอง คนบ้านนอกอย่างพวกเรา ใครเขาจะมาสนใจจริงจัง นอกจากบริหารเสน่ห์เล่นๆ เพื่อยั่วให้แฟนตัวเองหึง"
ลีนวัตรเดินหนีพยายามไม่สนใจคำพูดลิเกๆของ ปทุม ทั้งที่ความจริงก็รู้สึกบ้างเหมือนกัน ครั้นพบมาลินีในตอนเย็น เขาจึงมีท่าทีเมินเฉยกับเธอ แถมยังพูดแปร่งหูว่า เขาไม่อยากเป็นมือที่สามของใคร...ด้านพินที่ไปตามทวงดอกเบี้ยถึงบ้านทองใบ พินไม่ได้เงินแต่ก็ยิ้มย่องกลับมา เพราะหลงคารมเจ้าชู้ไก่แจ้ของทองใบเข้าอย่างจัง
ตกค่ำ ปื๊ดวิ่งถือสมุดการบ้านที่ครูให้เขียนเรียงความเรื่องครอบครัวของฉันมาให้ มาลินีช่วยอ่าน มาลินีรับมาด้วยความเต็มใจ แต่ประดิษฐ์หมั่นไส้ปื๊ด และกล่าวหาว่าลีนวัตรหลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือ เท่านั้นยังไม่หนำใจ ประดิษฐ์ใส่เป็นชุดว่าปื๊ดไม่มีแม่ ถามว่าแม่ปื๊ดเป็นใคร อยู่ที่ไหน ตายไปแล้วหรือมีผัวใหม่ หรือว่าจริงๆปื๊ดเป็นเด็กที่เขาเก็บมาจากถังขยะ
มาลินี ตกใจกับคำพูดของประดิษฐ์ ขณะที่ปื๊ดโกรธจ้องประดิษฐ์เขม็ง แล้วคว้าจานข้าวเขวี้ยงหัวประดิษฐ์ อารามตกใจมาลินีจึงดุปื๊ด และให้ปื๊ดขอโทษประดิษฐ์ แต่ปื๊ดปฏิเสธแล้ววิ่งหนีออกไปด้วยความน้อยใจ ส่วนประดิษฐ์ร้องโอดโอยจะเป็นจะตายทั้งที่จานข้าวแค่ถากๆหัวไปเท่านั้น
แม่ ปุยเริ่มเป็นห่วงปื๊ดที่หายไปบ้านมาลินีนานแล้ว จึงวานลีนวัตรไปดูปื๊ดที เมื่อลีนวัตรไปถึง และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลีนวัตรโมโหไม่น้อย จะรีบออกไปตามหาปื๊ด มาลินีขอไปกับลีนวัตรด้วย เพราะเธอเองก็มีส่วนผิดที่ทำให้ปื๊ดน้อยใจ
สองคนส่องไฟฉายและร้องเรียก ปื๊ดอย่างร้อนใจ ปื๊ดแอบอยู่ในกองฟาง ได้ยินแล้วแต่ไม่ยอมรับปาก ลีนวัตรเห็นกองฟางพะเยิบพะยาบ จึงแกล้งเล่าเรื่องผีกระสือให้มาลินีฟัง เท่านั้นเองปื๊ดก็วิ่งโร่ออกมาโดดเกาะลีนวัตรเป็นตุ๊กแก
ประดิษฐ์หงุด หงิดงุ่นง่านอยู่ที่บ้าน ไม่พอใจที่มาลินีออกไปกับลีนวัตร ทั้งที่ตนเจ็บแทบตายกลับไปสนใจไอ้เด็กนั่นมากกว่า พินหมั่นไส้เลยภาวนาให้ทั้งคู่หาปื๊ดไม่เจอ จะได้อยู่ด้วยกันทั้งคืน สวีทหวานแหววกันให้สาแก่ใจไปข้างหนึ่ง ประดิษฐ์
ได้ยินแล้วโมโหจี๊ด ตะคอกพินเสียงเขียว แต่พินไม่กลัว กลับยิ่งยั่วอารมณ์ประดิษฐ์เข้าไปอีก
"ความจริงคุณหัวแตกนี่ก็ดีเหมือนกันนะคะ ยิ่งทำให้
คุณมากับผู้ใหญ่ลีแกเห็นน้ำใจกันมากขึ้นไปอีก เฮ้อ ค่ำคืนนี้
ทำไมมันช่างอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความรักยังงี้นะ" พูดจบพินก็ลอยชายจากไป ทิ้งประดิษฐ์ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว
มาลินี ขอโทษปื๊ดที่เธอเผลอพูดไม่ดี ส่วนปื๊ดก็ขอโทษมาลินีด้วยเหมือนกันที่ทำไม่ดีกับเพื่อนคุณมา แต่เขามาว่าปื๊ดก่อนทำไม ลีนวัตรจึงสอนปื๊ดว่า อย่าโทษคนอื่น ถ้าปื๊ดรู้จักอดกลั้น มันก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้
"ถ้าปื๊ดทำเฉยเขาก็หาว่าปื๊ดไม่แน่จริงสิพ่อ"
"คน เราแน่จริงไม่แน่จริงมันอยู่ที่ใจเราเอง ต่อให้เขาเยาะเย้ยถากถางเรามากกว่านี้ ถ้าเอ็งไม่ใส่ใจซะอย่าง เขาก็เหมือนคนบ้าที่พูดพล่ามอยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละ จริงไหมล่ะ"
ปื๊ดพยักหน้าก่อนบอกว่า ปื๊ดก็ไม่แน่จริงอย่างที่เขาพูด พ่อแม่ปื๊ดจริงๆเป็นใครปื๊ดยังไม่รู้เลย ลีนวัตรฟังแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน
"เอ็งมีพ่อคนนี้แล้ว เอ็งยังไม่พอใจอีกเหรอ แม่เขาก็
เป็นห่วง คอยเอ็งอยู่ที่บ้านโน่นอีกคน เอ็งจะเอาแม่ที่ไหนอีก"

มาลินีทั้งรักและสงสารปื๊ด ขอเป็นแม่ของปื๊ดอีกคน ปื๊ดดีใจยิ้มแก้มแทบแตก โผกอดมาลินีพร้อมกับเรียกแม่มา... แต่มาลินีติงขำๆว่า ถ้าเสียงปื๊ดเหน่อมากกว่านี้ กลัวจะเป็นแม่หมา ปื๊ดจึงเรียกใหม่ พยายามไม่ให้เหน่อ...จากนั้นทั้งสามคน เดินจูงมือกันกลับบ้าน แล้วไม่ยอมเล่าเหตุการณ์แย่ๆที่เกิดขึ้นที่บ้านมาลินีให้พวกแม่ปุยที่ตั้งตา คอยฟัง เล่ากันแต่เรื่องดีๆที่ปื๊ดมีมาลินีเป็นแม่เพิ่มอีกคน
ทุกคนเป็น ปลื้ม เฉลาแซวพี่ชายว่ายิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง ปลื้มกว่าปื๊ดเสียอีก ลีนวัตรสุดเขิน ยิ่งมาลินีมองมาเหมือนจะจับผิดด้วยอีกคน ยิ่งไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ที่ตรงไหนใหญ่เลย พอมาลินีขอตัวกลับ แม่ปุยรีบบอกให้ลีนวัตรไปส่ง กำชับมาลินีเดินใกล้ๆผู้ใหญ่ เดือนมันมืด เดี๋ยวจะหกล้มหกลุกไป ฉลวยกับเฉลาหัวเราะคิกคัก มองแม่ปุยอย่างรู้ทัน
ขณะ เดินไปส่งมาลินี ลีนวัตรเล่าเรื่องงานวันแม่ที่โรงเรียนจัดขึ้นทุกปี ทางโรงเรียนจะให้เด็กๆได้กราบแม่ของตัวเอง แต่วันนั้นแม่ของตนงานยุ่งจนลืมว่านัดปื๊ดไว้ กว่าจะนึกได้ก็เกือบเที่ยง แม่วิ่งไปถึงโรงเรียนก็เห็นปื๊ดนั่งร้องไห้อยู่หน้าเสาธง แม่รู้สึกผิดมาก
"แล้วเหตุการณ์จบลงยังไงคะ" มาลินีซัก
"เขา ทำพิธีกราบแม่กันเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าแล้ว ไอ้ปื๊ดมันก็เลยกราบแม่ผมโชว์คนเดียว กลายเป็นคนดังไปทั้งโรงเรียน ยืดได้ไปหลายวันครับ แต่งานวันแม่ปีหน้ามันจะ ยิ่งยืดกว่านี้"
"ทำไมล่ะคะ"
"อ้าว ก็แม่ที่ไอ้ปื๊ดมันจะได้ไปอวดใครต่อใครที่โรงเรียนเป็นแม่มาคนนี้ไงครับ"
"แล้วปื๊ดเขาจะยืดที่ตรงไหนคะ"
"ก็แม่มาของมันสวยที่สุด น่ารักที่สุดในโลก...พ่อไอ้ปื๊ดก็ยืนยันอย่างนั้นด้วยครับ"
เจอ ลูกหยอดหวานๆของลีนวัตร มาลินีถึงสะท้าน เดินนำลิ่วไปด้วยความขัดเขิน ครั้นเดินไปถึงหน้าบ้าน ต่างคนต่างอ้อยอิ่งไม่อยากจะจากกัน มาลินีบอกให้ลีนวัตรกลับ เพราะดึกแล้ว
"ดึกแล้ว...หรือว่าคุณมากลัวใครบางคนในบ้านมาเห็นครับ"
"ฉัน ไม่ปฏิเสธว่าเมื่อก่อนประดิษฐ์เขาเป็นผู้ชายที่ฉันสนิทด้วยที่สุด แต่วันนี้ ตอนนี้ นาทีนี้ เขาก็เป็นได้แค่เพื่อนคนนึงเท่านั้นค่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น"
"รู้อย่างนี้ผมจะได้สบายใจ เลิกกังวลใจซะที อย่างน้อยถ้าคุณมาไม่ได้มองว่าผมต่ำต้อยกว่าเขา ผมก็สบายใจแล้วล่ะครับ"
มาลินี อยากบอกว่าลีนวัตรเหนือกว่าประดิษฐ์หลายขุมจนเทียบไม่ได้ จู่ๆมาลินีนึกได้ว่าปื๊ดลืมสมุดการบ้านเอาไว้ จึงให้เขารอก่อน เธอจะเข้าไปเอามาให้ ลีนวัตรคว้าแขนมาลินีไว้ ประดิษฐ์โผล่ออกมาเห็นพอดี ด่าว่าลีนวัตรอย่างหึงหวง แต่ทั้งลีนวัตรและมาลินีไม่สนใจ มาลินีผละเข้าไปหยิบสมุดการบ้านของปื๊ดเหมือนประดิษฐ์ไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น ประดิษฐ์ ยิ่งยัวะ พาลด่าลีนวัตรไม่ยั้ง
"ลื้อมันก็แค่ไอ้บ้านนอก เรียนหนังสืออย่างเก่งอั๊วว่าก็แค่ ม.6 ม.3 นั่นล่ะวะ ทางที่ดีอั๊วว่าอย่าสะเออะมาจีบมาเขาดีกว่า เพราะสุดท้ายลื้อมันก็เป็นได้แค่หมาเห็นเครื่องบินนั่นละวะ รู้จักมั้ยวะ หมาเห็นเครื่องบินน่ะ...เฮ้ย ลื้อฟังอั๊ว อยู่หรือเปล่าวะ"
ลีนวัตรเฉย ตลอด มาลินีถือสมุดการบ้านของปื๊ดกลับออกมาส่งให้ลีนวัตร เสร็จแล้วสองคนก็หันหลังแยกกัน ไม่สนใจประดิษฐ์ ประดิษฐ์โกรธควันออกหู ตามติดมาลินีเข้ามาต่อว่าต่อขาน
"มาทำกับดิ๊กเหมือนไม่เห็นหัวดิ๊กยังงี้ได้ยังไง"
"ฉันจะเข้าห้องฉันแล้ว คุณก็ควรจะกลับไปที่พักของคุณเหมือนกัน"
"มาทำร้ายจิตใจดิ๊กมากเกินไปแล้ว ไอ้บ้านั่นมันมีดีกว่าดิ๊กที่ตรงไหน"
"เรา จะไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว อย่าหาว่าฉันเสียมารยาทหรือหยาบคายเลยนะคะ ถ้าคุณไม่อยากเห็นคุณก็กลับกรุงเทพฯไปซะ ฉันจะถือว่าคุณเป็นแขกมาพักผ่อนตากอากาศเท่านั้น"
"ดิ๊กจะไม่มีวันไปไหนทั้งนั้น"
"ถ้า อย่างนั้นเราก็คงต้องคุยกันใหม่แล้ว ถ้าคุณคิดจะอยู่ที่นี่ คุณก็อยู่เฉยๆไปวันๆไม่ได้ เพราะทุกคนเขาทำงานกันหมด คุณควรจะรู้จักละอายใจนะคะ ข้าวทุกเม็ด อาหารทุกมื้อ มันมาจากการทำงานทั้งนั้น ที่นี่ไม่มีใครกินขนมปังค่ะ" มาลินีตอกกลับประดิษฐ์อย่างนุ่มนวล ก่อนจะเดินขึ้นข้างบนไป ประดิษฐ์ มองตามตาขวาง ขัดใจ
ลีนวัตรกลับไปนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่บ้านของตน สบายใจที่มาลินียืนยันว่าเธอกับประดิษฐ์เป็นแค่เพื่อนกัน แม่ปุยเดินออกมาเห็นสีหน้าลูกชายก็อดล้อไม่ได้ว่า ท่าทางผู้ใหญ่จะดีใจซะยิ่งกว่าไอ้ปื๊ด
"โธ่...แม่ก็ เขาก็แค่สงสารไอ้ปื๊ดมัน เพราะเห็นว่าพ่อแม่มันไม่มีเท่านั้นแหละ"
"แม่ว่าคุณนายวันแกคงจะดีใจนะ ถ้ารู้ว่าผู้ใหญ่กับหลานสาวแกเข้าอกเข้าใจกันดีอย่างนี้"
"วันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง เราไม่มีทางรู้ได้หรอกแม่"
"แม่ว่าคุณมาแกฉลาดพอที่จะมองคนให้เห็นเข้าไปถึงหัวจิตหัวใจมากกว่าจะมองแค่ข้างนอก ผู้ใหญ่เป็นคนคิดดีทำดีจะต้องไปกลัวอะไร"
"หนู จะพยายามคิดให้ได้อย่างนั้นจ้ะแม่ หนูจะไม่ หวั่นไหวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันนี้หนูรู้สึกดีต่อคุณมายังไง หนูจะไม่ยอมให้มีอะไรมาทำลายความรู้สึกดีๆนั้นได้จ้ะแม่"
ooooooo
ตอนที่ 14
เช้า วันใหม่ มาลินีออกไปกลางทุ่งนา เห็นครอบครัวลีนวัตรกำลังช่วยกันทำหุ่นไล่กา กันนกกา มากินข้าวที่ออกรวงเหลืองอร่าม มาลินีเห็นแล้วนึกสนุก ช่วยพวกเขาทำ ซึ่งแต่ละคนก็ออกแบบหุ่นไล่กาต่างกันไปคนละแบบสองแบบ เป็นที่สนุกสนานเฮฮา ชอบใจในผลงานของตนเอง
ประดิษฐ์เบื่ออยู่บ้าน ขับรถออกไปตลาด แล้วไปเจอปทุมที่เพิ่งออกจากร้านทำผมแถวนี้มาหยกๆ แต่ดันคุยอวดประดิษฐ์ว่าเธอเพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ ไปสระผมที่ร้านประจำมา เธอสระผมร้านธรรมดาแถวนี้ไม่ได้ ประดิษฐ์เองก็ใส่หน้ากาก อวดร่ำอวดรวยว่ารถที่ขับมาราคาหกล้าน ซื้อเงินสด เอาไว้ใช้งานสมบุกสมบัน ขับออกต่างจังหวัด
คุยกันไม่นาน ปทุมก็พาประดิษฐ์ไปที่ร้าน...ลูกสาวว่าขี้โอ่แล้ว ตัวพ่อยิ่งกว่า ผู้ใหญ่โหมดคุยน้ำไหลไฟดับเรื่องการค้าที่ ขายได้วันละสี่ห้าล้าน ประดิษฐ์หูตาพองก๋า เรียกผู้ใหญ่ โหมดว่าพ่อเต็มปากเต็มคำ จากนั้นสามคนก็รวมหัวกันวางแผนแยกลีนวัตรกับมาลินีออกจากกัน โดยปทุมเสนอให้จ้างคนไปดักรุมตบมาลินีแล้วก็สาดน้ำกรดซ้ำให้เสียโฉม ขณะที่ประดิษฐ์ก็จะส่งคนไปดักตีหัวแล้วรุมกระทืบผู้ใหญ่ลี เอาให้ ขาเป๋นิดหน่อย แต่คิดไปคิดมาต่างก็ร้องลั่นว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่ยอมให้แฟนของตนเป็นอันตราย ผู้ใหญ่โหมดจึงสรุปว่า ถ้ายังทำอะไรไม่ได้ถนัดตอนนี้ก็ขวางๆมันไปพลางๆก่อน แต่ถ้างานนี้สำเร็จ นอกจากประดิษฐ์จะได้แฟนคืนแล้ว ตนจะแถมรางวัลเป็นโบนัสให้เขาด้วยอย่างงาม
เย็น นี้เอง เหว่ามัดกิ่งมะขามที่ริดใบออกหมดแล้วใส่ถังเพื่อทำต้นกฐินถวายวัด เฉลาช่วยอยู่ด้วยใกล้ๆ สองคนถือโอกาสกุ๊กกิ๊กกันประสาคนรัก...ขณะเดียวกันนี้ จู่ๆวลัยกับสมรโผล่มาที่บ้านมาลินี สองสาวบอกมาลินีว่ากำลังเซ็งชีวิต สมรเบื่องานแอร์โฮสเตสที่ทำอยู่ พอเศรษฐกิจไม่ค่อยดีก็มีกฎระเบียบหยุมหยิม โบนัสงวดนี้ก็ไม่ได้ ส่วนวลัยก็ถูกเพื่อนที่หุ้นทำร้านกาแฟด้วยกันโกงหน้าด้านๆ ตอนนี้เลยตกงาน ทั้งคู่อยากมาพักผ่อนชั่วคราวหรืออาจจะถาวรเลยก็ได้
ประดิษฐ์ขับรถกลับ บ้านมาลินี ระหว่างทางเจอฉลวยขี่จักรยานล้มเข่าแตก ประดิษฐ์จำได้ว่าเธอเป็นน้องสาวผู้ใหญ่ลี จึงทำเป็นคนดีมีน้ำใจอาสาพาไปส่งถึงบ้าน ระหว่างทางก็คุยอวดฉลวยว่าตนเป็นผู้ชักนำนางแบบหลายคนที่ดังอยู่เวลานี้เข้า วงการ ฉลวยชื่นชอบวงการนี้อยู่แล้ว จึงออกอาการตื่นเต้นซักถามไม่หยุด ประดิษฐ์จับสังเกต แล้วเอ่ยชมฉลวยขาสวย โครงหน้าเก๋ ถ่ายรูปขึ้นอย่าบอกใคร ฉลวยฟังแล้วฉีกยิ้มกว้าง ความฝันบรรเจิด แต่พอลับหลัง ฉลวยหารู้ไม่ว่า ประดิษฐ์ก็แอบด่าฉลวยว่าทุเรศ อีบ้านนอก...
วลัยกับสมรกำลังซักถามถึง ความสัมพันธ์ของมาลินีกับผู้ใหญ่ลี ถามไปก็แซวไปจนมาลินีเขินอาย ทั้งคู่เลยยิ่งหยอกล้อ ประดิษฐ์กลับมาเจอก็หงุดหงิด ขุ่นเคืองใจที่มาลินีไม่แยแสตนเลย
ค่ำนั้นมาลินีชวนเพื่อนทั้งสองไปช่วย ครอบครัวลีนวัตรจัดข้าวของทำบุญ และใช้แบงก์พับนกติดต้นกฐินเพื่อถวายพระเช้าพรุ่งนี้ ทุกคนสนุกสนานรุมช่วยกันแขวนตกแต่งต้นกฐิน พอลีนวัตรมีโอกาสใกล้ชิดมาลินี วลัยกับสมรก็แซวซะทั้งคู่ จนเขินอายไปด้วยกัน เสร็จแล้วลีนวัตรเดินไปส่งสาวๆ วลัยกับสมรยังสนุกไม่เลิก แกล้งแหย่ลีนวัตรอีก เพราะชอบใจท่าทีเขินอายของเขา จนมาลินีต้องปรามเพื่อนๆ
รุ่ง เช้า หน้าวัดมีขบวนกลองยาวของผู้ใหญ่โหมดร้องรำทำเพลงกันเอิกเกริก ผู้ใหญ่โหมดนำต้นกฐินใส่ท้ายรถกระบะที่ตกแต่งอลังการ แล้วพ่อลูกนั่งประกบ ทำตัวเป็นดาวเด่นโบกมือให้ชาวบ้านที่ยืนดูกันสลอน วลัยกับสมรเห็นแล้วยังว่า นี่แหละเศรษฐีตัวจริง ต้นกฐินติดแต่แบงก์พัน ปื๊ดเองก็เข้าใจประสาเด็กว่า ติดเงินมากคงได้บุญมาก ลีนวัตรจึงสอนปื๊ดว่า บุญน่ะได้มากได้น้อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงิน มันอยู่ที่ใจ ถ้าปื๊ดทำบุญสิบบาท อาจได้บุญมากกว่าทำเป็นร้อยบาท ถ้าปื๊ดตั้งใจทำบุญจริงๆ

เช้าวันนี้ มาลินีมาดูลีนวัตรสอนชาวบ้านทำน้ำส้มควันไม้ ทีแรกมาลินีฟังชื่อแล้วนึกว่าพวกเดียวกับน้ำส้มสายชู แต่กลายเป็นว่ามันคือยากำจัดแมลงศัตรูพืชที่ชาวบ้านทุกคนสามารถทำเองได้ด้วย วิธีธรรมชาติ และไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เพราะแทบทุกครัวเรือนก็เผาถ่านใช้กันเองอยู่แล้ว
"เวลาเราเผาถ่านจริงๆ แล้วจะเกิดน้ำส้มควันไม้ทุกครั้ง แทนที่เราจะทิ้งมัน เราจะเก็บมันมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ เราไม่จำเป็นต้องซื้อยาฆ่าแมลง เราก็ทำใช้เองได้ น้ำส้มควันไม้ ไม่มีสารตกค้าง หรือทำอันตรายพืชผลที่เราปลูกแน่นอน นั่นหมายถึงว่า ผลผลิตที่เราได้ก็จะปลอดภัยสำหรับการบริโภคด้วย ความจริงมันเป็นภูมิปัญญาที่มีทำกันมานานแล้วครับ คราวนี้ มาดูกันว่าอุปกรณ์มีอะไรบ้างนะครับ"
มาลินีฟังลีนวัตรอธิบายแล้วสุดทึ่ง และรู้สึกสนุก เธอ ทำตัวกลมกลืนไปกับชาวบ้าน ชื่นชอบชีวิตในชนบท ขณะที่ลีนวัตรก็มีความสุขกับการมีมาลินีอยู่ใกล้ๆในสายตา พอตกเย็นมาลินีก็ออกไปเที่ยวตลาดนัดกับครอบครัวลีนวัตร หนุ่มสาวชี้ชวน กันชมตลาดอย่างสุขใจ เจอผักมากมายหลายอย่างที่ชาวบ้านเอามาวางขายกับพื้น มาลินีตื่นตาตื่นใจเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน และผักบางอย่างที่เธอเคยเห็นวางขายในซุปเปอร์มาร์เกตแพ็กนึงเกือบร้อย แต่ที่นี่แค่ห้าบาทสิบบาทเท่านั้น
ฉลวยวิ่งเข้ามากระซิบกระซาบมาลินีที่ เดินดูของสดกับลีนวัตร ฉลวยจะให้มาลินีไปช่วยเลือกซื้อชุดชั้นใน พอลีนวัตรรู้จากมาลินีก็ชะงักนิดนึง แต่ก็ยังตามไปอยู่ดี เลยถูกฉลวยแกล้งยื่นเสื้อยกทรงให้ดูจะจะ ลีนวัตรอายจัดจนหน้าแดง โกยหนีออกไปอีกทาง ส่วนเฉลากำลังเลือกผ้าขาวม้าเพื่อจะซื้อตอบแทน เหว่าที่วันก่อนซื้อโบว์ผูกผมให้เธอ พอดีเหว่าที่แอบตามมาทีหลังโผล่เข้ามาหา เฉลาจึงให้ช่วยตัดสินใจว่าจะเลือกสีไหนลายไหนจะได้ถูกใจ เหว่ายิ้มแต้ดีใจ บอกเฉลาว่าพี่จะกอดจะห่มผ้าผืนนี้ทุกวันทุกคืนเลย
ลีนวัตรเดินออกไปถึง มุมเครื่องเล่นที่ปี๊ดกำลังสนุกกับม้าหมุน ปี๊ดเห็นพ่อก็ร้องเรียกให้ขึ้นมาเล่นด้วยกัน ลีนวัตรปฏิเสธว่าเขาเอาไว้ให้เด็กเล่น ไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่พอปทุมปรี่เข้ามาเกาะติด ลีนวัตรก็ทำท่าจะหนีขึ้นไปนั่งกับปี๊ด ปทุมยังไม่วายเกาะแขนลีนวัตรหมับเป็นปลิง ขอขึ้นไปนั่งด้วยคน
ฉลวยกับ มาลินีซื้อของเสร็จแล้วเดินมองหาคนอื่นที่มาด้วยกัน แต่ไม่เจอใครสักคน ฉลวยบอกมาลินีว่าพี่ลีคงไปร้านหนังสือหาซื้อตำราเกษตร หรือไม่ก็พวกของเก่าของมือสองเชียงกง แกชอบซื้อมาดัดแปลงทำโน่นทำนี่ พอมาลินีเลียบเคียงถามถึงสาวๆที่ลีนวัตรจีบอยู่ ฉลวยกำลังจะบอกว่ามีอยู่คนเดียวคือมาลินี แต่ฉลวยยังพูดไม่ทันจบ มาลินีมองไปเห็นปทุมเกาะกอดแขนลีนวัตรแจ จึงเข้าใจว่าผู้หญิงที่ฉลวยกำลังจะบอกก็คือปทุมนี่เอง
มาลินีไม่ชอบใจนัก กับภาพที่เห็น เธอเดินหน้าตูมแยกไปจากฉลวย เพราะไม่อยากขัดความสุขของใคร ขณะมาลินีเดินขัดใจมาคนเดียว เธอเจอผู้ใหญ่โหมดกำลังชิมของฟรีอยู่หน้าแผงหนึ่ง พอผู้ใหญ่โหมดหันไปเห็นมาลินีก็สะดุดตาและจำได้ รีบเข้าแนะนำตัวแล้วตื๊อขายยากำจัดศัตรูพืชให้เธออีก แต่หนนี้ถูกเธอปฏิเสธแล้วเดินหนี มาลินีอารมณ์ค่อนข้างขุ่นมัว เพราะเจอเรื่องขัดตาขัดใจกวนความรู้สึกติดๆกัน กระทั่งเดินมาเห็นเฉลากับเหว่ากำลังหวานแหววหยอกล้อกันอยู่ เฉลาเอง ก็ชะงักเมื่อหันมาเห็นมาลินี เหว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง หน้าจืดสนิท แล้วเดินผละจากไปทันที
เฉลาเอ่ยปากขอร้องมาลินีห้ามบอกเรื่องของเธอกับเห ว่า มาลินีพอจะเข้าใจ รับปากแข็งขันจะไม่พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด ทางด้านลีนวัตรที่ถูกปทุมเกาะติดหนึบ เขารำคาญพยายามแกะมือปทุมออกบ่อยครั้ง ปื๊ดเองก็หมั่นไส้ แกล้งวิ่งผ่ากลางระหว่างทั้งคู่จนปทุมเซหงายหลังร้องวี้ด แต่พอตั้งหลักได้ ปทุมก็ควงแขนลีนวัตรอีกตามเคย ลีนวัตรอึดอัดแต่ไม่รู้จะหาทางไหน จนกระทั่งเดินไปเจอมาลินีกับเฉลาเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์พืชผัก ปทุมทำเป็นไม่เห็นหัวมาลินี ก่อนจะพูดจาแดกดันพอรู้ว่ามาลินีจะซื้อเมล็ดพันธุ์พืชผักไปปลูกกินเองที่ บ้าน แต่มาลินีทำเฉยไม่ใส่ใจ
เมื่อผู้ใหญ่โหมดเดินมาเจอคณะของลีนวัตร เข้าอีกคน ปื๊ดสุดจะเบื่อ เร่งลีนวัตรรีบกลับบ้าน พอเห็นทุกคนเดินมาที่ท่าเรือ เหว่ารีบอาสาลีนวัตรขับเรือให้ ลีนวัตรพยักหน้า เหว่าจึงลงเรือแล้วรับใครต่อใครลงมา ผู้ใหญ่โหมดกับปทุมตามมาส่ง แล้วไม่วายกระเซ้าลีนวัตรว่ารวยยังกะอะไรดี เมื่อไหร่ จะถอยปิกอัพโก้ๆมาขับสักคัน แต่ลีนวัตรบอกว่าตนมีทั้งเรือ เกวียน และควายอยู่แล้ว ขี้เกียจไปแย่งถนนกับใครเขา ไม่ต้องเร่งรีบ ไปเรื่อยๆแบบนี้สบายใจดี
หลังจากบอกลาสองพ่อลูกเรียบร้อย ลีนวัตรลงเรือเป็นคนสุดท้าย เขาสังเกตสีหน้ามาลินีเคร่งขรึม ไม่สนุกเหมือนตอนขามา พอเขาถอดหมวกจะส่งให้ เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ยิ้มไม่ขอบคุณ เฉลาก็พลอยเป็นไปด้วย หน้าบึ้งไม่ยอมรับหมวกจากพี่ชาย ลีนวัตรรู้ดีว่ามาลินีต้องงอนแน่ๆ พอเขาช่วยเธอหิ้วของไปส่งถึงบ้าน เธอกลับทำเมินเฉย พูดจาก็แปลกไป
ลีนวัตรจึงตัดสินใจถามเธอตรงๆ
"คุณมาไม่ได้งอนผมใช่ไหมครับ"
มาลินี ย้อนว่าทำไมเธอต้องงอนเขาด้วย ลีนวัตรจึงชี้แจงว่าเขากับปทุมไม่มีอะไรกัน มาลินียังประชดอีกว่า ถึงมีอะไรกันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ
"เกี่ยวสิครับ เพราะผมกลัวว่าคุณมาจะเข้าใจผิด"
"ผู้ใหญ่ลีคะ คุณก็เป็นคุณ ฉันก็เป็นฉัน คุณจะมาแคร์อะไรนักหนา"
"แคร์ครับ แคร์มากด้วย"
"เอ๊ะ คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องรึไง คุณจะมาวุ่นวายกับฉันมากไปแล้วนะ"
"ก็ ผมชอบคุณมานี่ครับ ถ้าคุณมาคิดว่าผมวุ่นวายกับคุณมามากเกินไป ผมก็เสียใจ จะให้ผมขอโทษก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณมารับรู้ว่า คนเดียวที่ผมแคร์มากที่สุดก็คือคุณมาครับ"
มาลินีหน้าแดงซ่านจนไม่กล้าสบ ตาลีนวัตร แล้วบอกให้เขาไปคิดดูใหม่ คิดให้ดีๆก่อนจะพูดอะไรออกมา เพราะวันพรุ่งนี้เขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้...พูดจบมาลินีก็เดินหนีกลับเข้า บ้าน แต่สีหน้าซ่อนยิ้มด้วยความปีติ พอตกเย็น มาลินีขนเสื้อผ้าเก่าๆของยายในตู้ออกมาคลี่ดู มีทั้งผ้านุ่ง ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าพิมพ์ เสื้อลูกไม้เรียบๆคลาสสิก แล้วพินแทบไม่เชื่อหู เมื่อได้ยินมาลินีบอกว่าเธอจะเอาเสื้อผ้าของยายมาใส่
มาลินีในชุดผ้าซิ่น มัดหมี่กับเสื้อลูกไม้เรียบเก๋หิ้วปิ่นโตอาหารไปบ้านลีนวัตร ทำเอาคนทั้งบ้านตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะลีนวัตรจ้องมาลินีตาค้าง ตะลึงในความสวย
"มองอะไรอยู่ได้ ฉันแต่งตัวอย่างนี้มันดูตลกนักรึไง" มาลินีถามเขินๆ
"ไม่ เลยครับ คุณมาแต่งตัวอย่างนี้ ผมว่าสวยกว่าแบบเก่าเป็นไหนๆ สวยยังกะนางฟ้า" ลีนวัตรไม่พูดเปล่า ยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายฉ่ำไปด้วยความรัก มาลินีแทบเดินไม่เป็น ทั้งเขินทั้งขำท่าทางและคำพูดเปิ่นๆของเขา

ครู่ต่อมา ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าว มาลินีนำอาหารฝีมือพินและของตนมาแจมด้วย ปื๊ดถูกใจหมูอบฝีมือมาลินีเหลือเกิน กินเอาๆจนพุงกาง แถมชมแล้วชมอีกจนมาลินีสุดเป็นปลื้ม ส่วนลีนวัตรไม่ค่อยกิน เอาแต่จ้องมองมาลินีราวกับไม่เคยเห็น พอถูกน้องๆแซว ลีนวัตรก็ทำอะไรผิดๆถูกๆ เป็นที่เฮฮาของทุกคน...หลังอาหาร เฉลาอาสาเก็บจานลงไปล้างอีกตามเคย เนื่องจากเหว่ารออยู่นั่นเอง
จู่ๆ ทองใบก็โผล่ขึ้นมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับผู้ใหญ่ลี มาลินีจึงขอตัวไปล้างมือ อีกอย่างมาลินีก็อยากจะลงไปดูเฉลาด้วย แล้วมาลินีก็เห็นเหว่ากับเฉลานั่งคุยกันในมุมมืด เหว่าไม่กล้าเผชิญหน้ามาลินี รีบพาตัวเองออกไปทันที เฉลาเองก็หน้าไม่ดี ขอร้องมาลินีอย่าบอกแม่กับพี่ลีเรื่องของตนกับเหว่า มาลินีบอกว่าคนเราจะรักชอบกันไม่เห็นจะเป็นเรื่องเสียหาย นายเหว่าก็เป็นคนดีไม่ใช่เหรอ เฉลายอมรับว่าเหว่าเป็นคนดี แต่เขาเป็นแค่คนงาน เรียนจบแค่ ม.3 เธอกลัวแม่กับพี่ลีจะไม่ชอบ มาลินีจึงว่าเรียนสูงเรียนน้อยไม่ได้สำคัญไปกว่าเป็นคนดี ซื่อสัตย์และจริงใจ
"ถ้าแม่กับพี่ลีคิดได้อย่างคุณมาก็คงจะดีสิจ๊ะ...คุณมาอย่าบอกใครนะจ๊ะ เหลาขอร้อง"
"ถ้า งั้นฉันก็จะขอร้องเฉลาด้วยเหมือนกัน เฉลาเองก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ตั้งใจเรียนให้จบก่อน อย่าเพิ่งชิงสุกก่อนห่าม ถ้าเฉลารับปาก ฉันก็จะทำตามที่เฉลาขอร้องเหมือนกัน ตกลงไหม"
"จ้ะ" เฉลารับคำ ยิ้มได้อย่างสบายใจ...
ส่วน บนเรือน ทองใบต้องผิดหวังหลังพยายามทู่ซี้ขอยืมเงินลีนวัตร ขณะเขาเดินคอตกลงเรือนสวนกับมาลินี ทองใบมองมาลินีอย่างผูกมิตร แต่ยังไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่เดินจากไปเงียบๆ มาลินีพอรู้ธุระของทองใบ และรู้เหตุผลที่ลีนวัตรไม่ให้ยืมเงิน เธอก็เห็นด้วยกับลีนวัตร เพราะทองใบติดเหล้า งานการไม่ทำ เงินมีเท่าไหร่ก็เอาไปลงขวดเหล้าหมด ลีนวัตรจึงต้องสอนให้ทองใบรู้จักพึ่งตัวเอง และดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียง
นับ วันมาลินียิ่งรู้สึกดีกับลีนวัตรหรือผู้ใหญ่ลีของชาวบ้าน และค่ำนี้เองเธอได้เข้าไปในห้องทำงานของลีนวัตร เห็นถึงความขยันของเขาที่กำลังทำวิทยานิพนธ์ มาลินีก็ยิ่งทึ่งและไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยายของเธอถึงภูมิใจในตัวเขานัก
"คุณยายของคุณท่านเป็นคนส่งเสียให้ผมเรียนจนจบมหาวิทยาลัย เสียดายที่ท่านจากไปเร็วเกินไป ท่านน่าจะได้เห็นปริญญาโทของผมเสียก่อน"
"นี่คุณกะไปถึงปริญญาเอกเลยรึเปล่าคะเนี่ย"
"คง พอเท่านี้ล่ะครับ ผมว่าปริญญาเอกของผมอยู่ข้างนอกโน่น ในนา ในคลอง รอบบ้านหลังนี้ แล้วก็รอบๆหมู่บ้านของผมมากกว่าครับ ผมว่าการที่ผมใช้ความรู้กับประสบการณ์ ของผมมาช่วยคนในสังคมเล็กๆของผมให้เขาคิดและทำตามแนวความคิดของผมให้ได้ เป็นเรื่องท้าทายมากกว่าครับ"
"ความคิดของคุณนี่น่าทึ่งมากๆเลย ฉันเป็นหลานแท้ๆของยาย แต่ท่านก็คงหวังอะไรในตัวฉันไม่ได้เลย"
"ไม่ จริงหรอกครับ ท่านไม่ต้องการให้คุณรู้สึกถูกบังคับมากกว่า ท่านอยากให้คุณได้มาสัมผัสการใช้ชีวิตแบบนี้ด้วยตัวคุณเอง ด้วยหัวใจของคุณเองมากกว่า"
"ฉันว่า...ฉันได้สัมผัสมันแล้วละ"
"ผมดีใจที่ได้ยินคุณพูดแบบนี้"
หนุ่ม สาวมองกันนิ่งในความเงียบ และเหมือนมีแรงดึงดูดให้ทั้งคู่ค่อยๆยื่นหน้าเข้าหากัน แต่ไม่ทันได้สัมผัสกลิ่นอายของกันและกัน ทั้งคู่ก็ตกใจผละออกจากกันทันที เพราะปื๊ดส่งเสียงแจ้วๆ วิ่งเข้ามาในห้อง ปื๊ดไม่มีธุระอะไร แค่จะมาบอกมาลินีว่าตนจะเข้านอนแล้ว ลีนวัตรฟังแล้วแทบอยากจะเขกหัวปื๊ด แต่มาลินีแก้เขินด้วยการอวยพรปื๊ดให้นอนหลับฝันดี... จากนั้นลีนวัตรเดินไปส่งมาลินีที่บ้าน แล้วเขาเกือบจะได้สัมผัสแก้มขาวๆของมาลินี ถ้าพินไม่โผล่มาขัดจังหวะเสียอีก พินมาบอกมาลินีว่าได้ยินโทรศัพท์ในห้องดังหลายรอบแล้ว มาลินีขอบใจพิน ก่อนหันมาขอบคุณผู้ใหญ่ลีที่อุตส่าห์เดินมาส่ง
มาลินีขึ้นเรือนพร้อมพิน เธอเดินยิ้มกริ่มมีความสุขหัวใจเบิกบานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มาลินีเดินเข้าห้องมาหยุดริมหน้าต่าง เห็นลีนวัตรยังยืนอยู่ที่เดิม แถมส่งยิ้มหวานมองมาที่เธอด้วย...
เช้าขึ้นทองใบมาโผล่ที่บ้านคุณนาย วัน พินไล่ตะเพิดเพราะรู้ทันทองใบจะมายืมเงินมาลินี แต่ไม่ว่าพินจะดุด่ารุนแรงยังไง ทองใบก็ไม่โกรธ มาลินีเสียอีกที่รู้สึกสงสารทองใบ เมื่อทองใบเอ่ยปากขอข้าวกินสักมื้อก่อนกลับ มาลินีจึงให้พินจัดการ ส่วนเธอจะออกไปนา...พินกระแทกกระทั้นใส่ทองใบอย่างไม่พอใจ แถมยังด่าอีกมากมาย แต่พอทองใบชมว่าอาหารฝีมือพินสุดอร่อย และพินก็ใจดีอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์มาเกิด พินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เคลิ้มจัดถึงขนาดยอมให้ทองใบยืมเงิน
ผู้ใหญ่โหมดกับ ปทุมมาที่บ้านลีนวัตร พอรู้ว่าลีนวัตรออกไปนา ปทุมก็รีบตามออกไป ส่วนผู้ใหญ่โหมดอยู่ทางนี้ก็จีบแม่ปุยอีกตามเคย แต่ไม่ลืมทวงถามเรื่องที่ดินของคุณนายวัน ซึ่งผู้ใหญ่โหมดอยากจะซื้อ ถ้าแม่ปุยช่วยเจรจาสำเร็จจะมี
ค่านายหน้าให้ แม่ปุยจึงบอกให้เขารู้ว่าถ้ามาลินีจะขายก็ต้องขายให้ผู้ใหญ่ลีคนเดียว เพราะคุณนายวันแกสั่งไว้ แต่ก็คิดว่าตอนนี้ มาลินีคงไม่ขายแล้ว
ด้านปทุม ที่ออกมาตามหาลีนวัตรกลางทุ่งนา แล้วมาเจอลีนวัตรกำลังใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวมาลินี ช่วยสอนให้ขึ้นหลังควาย ปทุมเห็นภาพบาดตาถึงกับร้องกรี๊ดลั่นทุ่งก่อนพุ่งเข้าใส่ ด่าไม่ไว้หน้า
"ทำไม พี่ลีทำยังงี้ล่ะ พี่ลีมีทุมอยู่แล้วทั้งคนยังจะมาหาเศษหาเลยกับ...อ้อ นึกว่าใคร ที่แท้ก็แม่สาวกรุงเทพฯนี่เอง เหงาเปล่าเปลี่ยวมากรึไงยะ ถึงได้มาอ่อยแฟนคนอื่นเขากลางทุ่ง ไม่รู้จักอับอายผีสางเทวดายังงี้"
มาลินีเจอฤทธิ์น้ำไหลไฟดับของปทุมก็ตั้งตัวไม่ทัน ลีนวัตรเตือนปทุมจะพูดจาอะไรควรระวังปากระวังคำบ้าง ปทุมกลับตะเบ็งเสียงเถียงฉอดๆ
"ทำไม ทุมต้องระวังด้วย ก็อีนี่มันกำลังจะแย่งพี่ลีไปจากทุม ผู้ชายอื่นมีตั้งเยอะไม่มีปัญญาหามาทำผัวแล้วรึไง ถึงต้องมาแย่งของคนอื่นเขาอย่างนี้"
"ทุม..." ลีนวัตรปราม แต่ปทุมหึงหวงจนไม่แตะเบรก
"เห็น อยู่คาตาว่ากำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับมัน พี่ลียังจะมาแก้ตัวแทนมันอีกเหรอ ไม่รู้ฤทธิ์อีทุมซะแล้ว ขอตบสั่งสอนอีไฮโซกรุงเทพฯหน่อยเถอะ"
ปทุมปราดเข้ามาเงื้อง่า ลีนวัตรีบเอาตัวบังมาลินี เฉาก๊วยที่หงุดหงิดรำคาญเสียงความถี่สูงของปทุม มันลุกพรวดขึ้นทันที เดินเข้าหา ปทุมตกใจด่าควายลั่นทุ่ง เฉาก๊วยเหมือนจะฟังรู้ ยิ่งเดินเข้าใส่ ปทุมก็ยิ่งกรี๊ดด้วยความกลัว พร้อมกับวิ่งหนีไม่คิดชีวิตจนหกล้มหกลุกตกคันนา เนื้อตัวเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน วิ่งโร่กลับไปบ้าน ผู้ใหญ่โหมดกำลังจับมือถือแขนแม่ปุยจะเผยความในใจ ก็มีอันต้องสะดุดหยุดลงกับเสียงกรี๊ดแปดหลอดของปทุม
ฝ่ายมาลินีกลับไป ถึงบ้านก็พบพินทำงานบ้านไปร้องเพลงไปอย่างอารมณ์ดี พอมาลินีรู้ว่าพินให้เงินทองใบยืม เธอแทบไม่เชื่อหู ขณะที่พินรีบกลบเกลื่อนว่าคุณมาไม่ต้องห่วง พินไม่ได้ให้ยืมเปล่าๆ พินคิดดอกด้วย เขาไม่มีทางเบี้ยว ขืนเบี้ยวต้องโดนดีแน่
ระหว่างนี้ ทั้งคู่ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน ประดิษฐ์ เหมาแท็กซี่มาจากกรุงเทพฯสองพันห้า แต่หน้าด้านยืมเงินมาลินีจ่าย โดยอ้างว่าไม่มีเงินสดติดตัว มีแต่บัตรเครดิต...มาลินีจำใจต้อนรับ แล้วพาเขาไปพักที่เรือนหลังเล็ก ประดิษฐ์ไม่ชอบใจ ย้ำว่าตนเป็นแฟน ไม่ใช่คนงาน ถึงต้องมาอยู่ที่นี่ มาลินีจึงขอร้องประดิษฐ์เลิกใช้คำคำนี้เสียที เพราะเขากับเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน เธอต้อนรับเขาในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ถ้าเขาอยู่ที่นี่ไม่ได้
ก็กลับไปซะ...ประดิษฐ์หน้าจ๋อย แต่ไม่วายต่อว่ามาลินีใจร้าย...
ลี นวัตรกลับเข้าบ้านหลังจากปทุมชำระล้างเนื้อตัวเสร็จแล้ว ปทุมตาเขียวใส่ลีนวัตรก่อนจะตัดพ้อต่อว่า เธอผิดหวังในตัวเขาที่สุด ลีนวัตรจึงย้อนถามปทุมว่า มาหวังอะไรในตัวพี่
"ยังจะมาพูดยังงี้อีก ใครๆเขาก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน"
"พี่ว่าพี่ไม่เคยทำให้ทุมรู้สึกอย่างนั้นนะ"
"แล้วที่ผ่านมา มาทำเจ๊าะแจ๊ะกับทุมทำไม"
"ทุม...พี่รู้สึกกับทุมแค่น้องสาวพี่คนนึงเท่านั้นเอง"
"ทุเรศ...พอมีอีผู้หญิงกรุงเทพฯนั่นมาอ่อยให้ท่าเข้าหน่อย พี่ลีก็พูดกับทุมยังงี้เลยเหรอ"
"อย่าเรียกใครต่อใครเขาอีโน่นอีนี่ ใครได้ยินเข้ามันไม่ดี ไม่สุภาพ เขาไม่เสียหรอก แต่ทุมน่ะแหละจะเสีย"
"ก็ทุมจะเรียกซะอย่าง ใครจะคิดยังไงก็ช่างหัวมัน ทุมไม่สน...อีนั่นมันไม่มีทางแย่งพี่ลีไปจากทุมได้หรอกคอยดู"
ลีนวัตรเบื่อหน่ายเดินหนี ปทุมยิ่งของขึ้น ร้องด่าพี่ลีตาถั่ว อีนั่นมันมีดีกว่าทุมตรงไหน?
เย็น นั้น วลัยกับสมรโทร.หามาลินี ทั้งคู่เป็นห่วงมาลินีพยายามเกลี้ยกล่อมให้กลับกรุงเทพฯ มาลินีขอบใจเพื่อน ก่อนยืนยันว่าตนอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง และตอนนี้ข้าวในนาก็เริ่มแก่ อีกไม่นานก็จะเกี่ยวได้ ถ้าทั้งคู่ว่างจะมาช่วยก็ได้...วลัยกับสมรฟังแล้วอึ้ง ไม่คิดว่ามาลินีจะดื้ออย่างนี้
ขณะเดียวกัน ประดิษฐ์จงใจไปหาเรื่องลีนวัตรที่กำลังเก็บผักที่ปลูกไว้หัวไร่ปลายนา ประดิษฐ์เดินเข้ามากวนประสาท คุยข่มคุยอวดว่ามาลินีเป็นคนโทร.ไปตามให้ตนมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ลีนวัตรนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ ประดิษฐ์เลยเก้อไปเอง
ขณะผู้ใหญ่โหมดกับปทุม นั่งรถกลับออกจากบ้านลีนวัตร เห็นปื๊ดเดินกลับจากโรงเรียน ผู้ใหญ่โหมดเกิดความคิดบางอย่าง รีบจอดรถทักปื๊ด แล้วควักแบงก์ร้อยให้ไว้กินขนม แต่ปื๊ดปฏิเสธเพราะพ่อเคยบอกไม่ให้รับเงินใครเปล่าๆ แต่พอผู้ใหญ่โหมดคว้าโทรศัพท์มือถือของปทุมที่ถ่ายรูปและเล่นเกมได้มาให้ ปื๊ดยืม ปื๊ดก็รับมันมาทันที เพราะเป็นรุ่นที่อยากได้มานานแล้ว เซ้าซี้พ่อก็ไม่ยอมซื้อให้สักที
หลังจากปื๊ดเดินเริงร่าจากไป ปทุมหงุดหงิดไม่เข้าใจพ่อที่เอาโทรศัพท์ของตนให้ปื๊ดไป ผู้ใหญ่โหมดจึงสาธยายว่า เราต้องหาพันธมิตรเอาไว้ใช้กับงานของเรา ไอ้ปื๊ดนี่แหละจะช่วยเราได้เยอะ อย่างน้อยมันก็จะเป็นหูเป็นตาให้เราได้ ปทุมสงสัยว่าเป็นหูเป็นตายังไง เห็นมันปลื้มมาลินีจะตาย คนเป็นพ่อจึงว่ามันเป็นแผนของผู้ใหญ่ลีที่หลอกใช้เด็กเป็นพ่อสื่อ
"เอ็ง เชื่อพ่อเหอะทุมเอ๊ย ผู้ใหญ่ลีมันอยากจะจับนังนั่นทำเมีย เพราะมันหวังจะฮุบที่ดินนังนั่นแบบไม่ต้องเสียเงินซื้อซักบาทไง" ผู้ใหญ่โหมดคิดอคติ ประสาคนหัวการค้าที่ฉลาดแกมโกง...
ooooooo
ตอนที่ 13
ปื๊ด กลับถึงบ้านก็ไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ แม่ปุยเรียกมาช่วยงานในครัว ปื๊ดก็อิดออด กระทั่งลีนวัตรต้องมายึดโทรศัพท์ไว้กับตัว แล้วเกิดซักถามปื๊ดจนรู้ว่ามันเป็นของใคร
มาลินีเห็นพินห่อข้าวต้มลูก โยนจะเอาไปทำบุญที่วัดพรุ่งนี้ มาลินีสงสัยทำไมต้องเป็นข้าวต้มลูกโยน พินบอกว่า วันออกพรรษาพระพุทธเจ้าท่านเสด็จลงมาจากสวรรค์มาโปรดพระมารดาของท่าน คนจะเบียดเสียดแย่งกันใส่บาตรจนเข้าไม่ถึงพระ ก็เลยต้องมัดข้าวต้มให้มีหางยาวๆ จะได้โยนใส่บาตรได้
"นี่ฉันไม่เคยรู้เรื่องแบบนี้เลยนะเนี่ย ไปวัดก็แทบจะนับครั้งได้"
"ก็คุณเป็นคนกรุงเทพฯนี่คะ ต้องทำงานตัวเป็นเกลียว"
"เวลามีความทุกข์ทีถึงจะนึกถึงวัด หรือไม่งั้นก็ปัดๆไปว่าเป็นเรื่องของคนแก่"
"สนุกจะตายไปค่ะคุณ ไปวัดได้ไปเจอคนตั้งเยอะแยะ"
มาลินี อยากลองทำบ้าง ให้พินช่วยสอน พร้อมกันนี้ มาลินีก็เลียบเคียงถามพินว่า ปทุมเป็นแฟนผู้ใหญ่ลีนานแล้วเหรอ พินย้อนถามคุณมาไปฟังมาจากใคร มาลินีบอกว่าปทุมพูดเอง พินจึงไม่ให้มาลินีสนใจ รายนี้ชอบขี้ตู่เป็นแฟนกับใครต่อใครไปทั่ว แล้วแต่ว่าใครจะดูดีขนาดไหน แต่พินอยากรู้ที่คุณมาถามนี่ เพราะหึงหรือเปล่า มาลินีรีบปฏิเสธเสียงหลง ตนกับผู้ใหญ่ลีไม่ได้เป็นอะไรกัน จะต้องหึงทำไม แต่พินยังกระเซ้าว่า จริงเหรอ?
"บ้าใหญ่แล้วพิน ฉันกับเขาเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นแหละ"
"ทำไม เป็นแฟนไม่ได้ล่ะคะ ผู้ใหญ่ลีแกดีจะตาย พินยังคิดเลยว่าถ้าตัวเองสาวกว่านี้อีกนิด สวยกว่านี้อีกหน่อย ถึงผู้ใหญ่ลีแกจะไม่สน พินก็พร้อมจะถวายตัวละค่ะ...พินว่าผู้ใหญ่ลีแกชอบคุณจะตาย เวลาแกแอบมองคุณนะคะ พินว่าน้ำแข็งยังละลายเลยค่ะ"
มาลินีขวยเขิน หาว่าพินพูดไปเรื่อย ตนยังรู้จักเขาไม่ดีพอ อีกอย่างตนก็กลัวลูกสาวผู้ใหญ่โหมดจะมาข่วนหน้าเอาเปล่าๆ
ตก กลางคืน ผู้ใหญ่โหมดโทร.เข้ามือถือปทุมที่ให้ปื๊ดมา ปื๊ดรับสายแล้วส่งต่อให้แม่ปุยอย่างเซ็งๆ ลีนวัตร เฉลา ฉลวย และปื๊ดได้ยินเสียงสนทนาของแม่ก็รู้ว่าผู้ใหญ่โหมดจีบแม่แน่ ด้านผู้ใหญ่โหมดพยายามตื๊อหนัก แต่แม่ปุยก็ตีกันท่าเดียว จนเขาสงสัยว่าแม่ปุยอาจตายด้านเรื่องนี้ไปแล้ว
ที่บ้านมาลินี ประดิษฐ์นั่งหน้าตูมมองกับข้าวพื้นบ้านพวกน้ำพริกผักจิ้มที่กินมาแล้วสอง มื้อ มาลินีเปรียบอาหารพวกนี้เหมือนสลัด แต่เป็นสลัดแบบไทยๆ ถ้าเขากินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน ไม่มีใครบังคับ เจอไม้นี้เข้าประดิษฐ์ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน แล้วพาลโทษผู้ใหญ่ลีทำให้มาลินีเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ พอมาลินีออกรับแทน ประดิษฐ์ก็ยิ่งฉุน
"มาจะต้องเสียใจเข้าสักวัน แล้วจะหาว่าดิ๊กไม่เตือนไม่ได้นะ ลูกเมียมันก็มีแล้ว มาชอบมันเข้าไปได้ยังไง"
"ไม่ รู้อะไรก็ไม่ต้องพูดเลย บางทีอาจจะดีกว่า ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะ รีบกินให้เสร็จซะ ฉันจะได้เก็บจานชามไปล้าง หรือคุณจะล้างเอง พินก็คงไม่รังเกียจหรอก" มาลินีลุกออกไป ประดิษฐ์รู้สึกขัดใจเป็นบ้า

บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก

Blogger Template by Blogcrowds