ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ตอนที่ 4

มาลินีเปื้อนโคลนแทบจะทั้งตัว เดินกระย่องกระแย่งเหมือนขยะแขยงตัวเองมาตามคันนา แม่ปุยหิ้วปิ่นโตจะเอาไปส่งลีนวัตร ถึงกับชะงักกึกหยุดเพ่งมองเธออย่างไม่แน่ใจว่าคนหรือตัวประหลาด พอเธอเดินใกล้ เข้ามา แม่ปุยจึงสอบถามเธอว่า ใช่หลานสาวคุณนายวันหรือเปล่า มาลินีทำหน้าแปลกใจก่อนตอบรับ แม่ปุยจึงแนะนำตัวว่าเธอเป็นแม่ไอ้ปื๊ด
"อ๋อ สวัสดีค่ะคุณป้า เมื่อวานหนูว่าจะไปเยี่ยมที่บ้านแล้ว แต่ค่ำมืดซะก่อนเลยไม่ได้ไป หนูสวัสดีอย่างเป็นทางการตรงนี้เลยก็แล้วกันนะคะ"
มาลินียกมือที่เปื้อนโคลนดำปี๋ขึ้นมาไหว้ แม่ปุยรับไหว้แล้วเกิดสงสัยว่ามาลินีไปลุยโคลนเลนที่ไหนมา มาลินีเลยถือโอกาสฟ้องฉอดๆ
"หนู ถูกแกล้งน่ะสิคะคุณป้า คงเป็นอันธพาลแถวนี้แหละค่ะ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ หนูอาศัยเรือเขามา เขาก็แกล้งหนูสารพัด หลอกให้หนูเดินหลงทางอยู่ตั้งนาน นอกจากอันธ� พาลแล้วหนูว่าเขาต้องเป็นโรคจิตด้วย ผู้ชายที่ไหนจะชอบแกล้งผู้หญิง จริงไหมคะคุณป้า หนูมั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนแถวนี้แหละ ผู้ใหญ่ลีจะปล่อยให้ลูกบ้านตัวเองมีนิสัยแย่ๆอย่างนี้ไม่ได้หรอก จริงไหมคะคุณป้า"
"ค่ะ จริงค่ะ คุณกลับไปล้างเนื้อล้างตัวซะก่อนดีกว่า อิฉันจะเอาปิ่นโตไปส่งผู้ใหญ่ลีแก เดี๋ยวอิฉันจะจัดการ...เอ๊ย... จะบอกแกให้ค่ะ"
"ขอบ คุณค่ะคุณป้า" มาลินีเดินกระย่องกระแย่งลากรองเท้า ที่หุ้มหนาไปด้วยโคลนกลับไปทางบ้าน ส่วนแม่ปุยเดินจ้ำไปอีกทาง...ครู่เดียวแม่ปุยก็ไปถึงตัวลีนวัตร แม่ปุยจู่โจมเข้าหยิกแขนลีนวัตรเจ็บจนหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
"โอ๊ยแม่...หนูเจ็บนะ หนูโตจนเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นอายเขาตาย เสียปกครองหมด"
"แล้วถูกคุณเขาด่าเอาว่าเป็นอันธพาล แถมโรคจิตล่ะ ผู้ใหญ่ไม่อายเขาเรอะ"
"ก็ช่างเขาสิแม่ ความจริงมันไม่ได้เป็นยังงั้นซะหน่อย"
"แม่ถามจริงๆเหอะผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไปแกล้งคุณเขาทำไม นั่นน่ะหลานแท้ๆคุณนายวันเชียวนา...จะทำอะไรก็น่าจะนึกถึงคุณนายวันแกบ้าง"
"ก็เพราะนึกถึงคุณนายวันน่ะสิแม่ หนูถึงได้ทำ
อย่างนี้"
"แม่ไม่เข้าใจ"
"เอาเป็นว่าหนูหมั่นไส้คนกรุงเทพฯเฉยๆก็ได้"
"เหตุผลไม่เข้าท่า แล้วจะเลิกแกล้งเขาเมื่อไหร่"
"ก็ จนกว่าจะหายหมั่นไส้นั่นแหละแม่" ลีนวัตรทำเป็นเลิกสนใจ คว้าปิ่นโตอาหารมากิน แม่ปุยส่ายหน้าไม่เข้าใจลูกชาย บ่นงึมงำว่าอยู่ดีๆก็ทำให้คนเขาเกลียด...

ด้านมาลินี หลังจากอาบน้ำแต่งตัวใหม่ก็เตรียมออกจากบ้านอีก ตั้งใจจะไปฟ้องผู้ใหญ่ลีให้จัดการลูกบ้านป่าเถื่อนไร้การศึกษาที่ชอบแกล้ง เธอ...ครั้นมาลินีออกเดินไปทางเก่าก็เจอแม่ปุยหิ้วปิ่นโตเปล่าสวนกลับมา ระหว่างนี้เองมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักแม่ปุย มาลินีมองๆแล้วเข้าใจไปเองว่าชายคนนี้คือผู้ใหญ่ลี สามีของแม่ปุย จึงรีบเข้ามาทักทายด้วยไมตรี ก่อนจะฟ้องเรื่องที่โดนลูกบ้านของผู้ใหญ่ลี กลั่นแกล้งตั้งแต่วันแรกที่มาถึง แม่ปุยพยายามจะบอกมาลินีแต่ก็ไม่มีช่อง เพราะมาลินีพูดจ้อแทบไม่หายใจ จนกระทั่งชายคนนั้นถามแม่ปุยว่าผู้ใหญ่ลีอยู่ไหน มาลินีถึงชะงัก
"หมายความว่า...คุณลุงคนนี้ไม่ใช่สามีคุณป้า แล้วก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ลีด้วย"
"ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ" สิ้นคำของแม่ปุย มาลินียิ้มแหย หน้าแตกยับเยิน...


ooooooo


หลังจากนั้นแม่ปุยเดินมาส่งมาลินีถึงบ้านคุณ-นายวัน และนั่งคุยกันต่อที่แคร่หน้าบ้าน
"แล้วนี่คุณกินข้าวกินปลาหรือยังคะ"
"ปกติเช้าๆ หนูไม่ทานอะไรอยู่แล้วค่ะคุณป้า บางทีแค่กาแฟถ้วยเดียวก็พอแล้ว"
"แล้วจะมีเรี่ยวมีแรงทำงานเหรอคะ คนกรุงเทพฯ
นี่แปลกจัง"
"คนอื่นหนูไม่ทราบนะคะ แต่สำหรับหนู หนูต้องคุมน้ำหนักค่ะ"
"โถ...ผอมจนเห็นกระดูก ลมพัดมาทีเดียวก็แทบจะปลิว อย่างนี้ยังจะต้องคุมน้ำหนักอีกเหรอคะ"
"แต่กลับไปนี่หนูคงต้องไปลดละค่ะคุณป้า น้ำหนักขึ้นแน่ๆ แค่มื้อค่ำเมื่อวานที่ปื๊ดหิ้วมา หนูเผลอทานเข้าไปตั้งเยอะ เพราะอร่อยมากค่ะ"
"กับ ข้าวพื้นๆทั้งนั้นละค่ะคุณ ไม่มีอะไรดีเด่ ผักก็ผัก รอบๆบ้าน ปลูกเอาเองทั้งนั้น ผู้ใหญ่ลีแกปลูก ผักอะไรต่อมิอะไรปลูกหมด ปลูกตะพึดตะพือ"
ได้ยินชื่อผู้ใหญ่ลีซึ่งมาลินีเข้าใจว่าเป็นสามีของแม่ ปุย และคิดว่าทั้งคู่เป็นพ่อแม่ของปื๊ด...มาลินีจึงถามแม่ปุยว่าเมื่อไหร่ เธอจะได้พบผู้ใหญ่ลี แม่ปุยเลยอึกอักๆว่า คุณอาจจะได้เจอแล้ว แต่ไม่คิดว่าเป็นผู้ใหญ่ลีก็ได้
"ไม่มีนะคะ ตั้งแต่หนูมาเมื่อวาน หนูยังไม่เจอใครที่ดูอายุมากพอจะเป็นผู้ใหญ่บ้านเลยซักคน"
"เมื่อคืนผู้ใหญ่ลีเขายังมาเดินยามให้ที่นี่เลย"
"เหรอ คะ...ตายจริง ถ้าอย่างนั้น..." มาลินีนึกถึงเหตุการณ์ เมื่อคืนที่เธอเขวี้ยงสากกะเบือออกทางหน้าต่าง "ต้องใช่แน่ๆเลยค่ะ เมื่อคืนหนูได้ยินเสียงแปลกๆ นึกว่าขโมย หนูเลยเขวี้ยง ไอ้นี่ออกมา"
มาลินีเดินไปเก็บสากกะเบือไม้บนลานดิน แม่ปุยเห็นสากกะเบือก็สยองสะดุ้งแทนลูกชาย
"ท่าทางจะโดนเข้าเต็มๆด้วยละค่ะ ตายจริง หนูต้อง
ฝากขอโทษแล้วก็ฝากขอบคุณคุณลุงผู้ใหญ่ไปด้วยก็แล้วกันนะคะ อุตส่าห์มีน้ำใจมาดูแลหนู แต่เคราะห์ร้ายต้องเจ็บตัวเพราะหนูแท้ๆ"
"ป้าว่าเอาไว้เจอกันแล้วค่อยสะสางกันเอาเองดีกว่ามังคะ"
มาลินีหน้าเจื่อน รู้สึกผิดที่ตัวเองทำร้ายผู้หลักผู้ใหญ่ ด้วยอาวุธชนิดนี้


ooooooo


หลัง จากแฟนสาวหายจ้อยไปอย่างไร้ร่องรอย ประดิษฐ์หงุดหงิดกระวนกระวาย รู้สึกชีวิตของตนติดขัดไปหมด เงินไม่มีใช้ อาหารก็ไม่มีกิน ต้องสั่งอาหารธรรมดาๆข้างล่างคอนโดฯขึ้นมาประทังความหิว แล้วพยายามโทร.ติดต่อมาลินีอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีสัญญาณเอาเสียเลย
จน เข้าวันที่สอง ประดิษฐ์ทุรนทุรายไปคาดคั้นเอากับสองสาวเพื่อนซี้ของมาลินี ทั้งยังกล่าวหาว่าทั้งคู่เอามาลินีไปซ่อน สมรน่ะไม่เท่าไหร่ แต่วลัยที่ชังน้ำหน้าประดิษฐ์อยู่เป็นทุนถึงกับปี๊ดแตก ด่าว่าประดิษฐ์อย่างไม่เกรงใจ ประดิษฐ์เองก็ปากจัดตอบโต้วลัยอย่างดุเดือดจนเกือบจะวางมวยกัน ถ้าสมร ไม่กางกั้นและพยายามไกล่เกลี่ย
เมื่อรู้ว่ามาลินีไปต่างจังหวัดแต่ไม่รู้ ไปจังหวัดไหน ไปกับใคร แล้วเมื่อไหร่จะกลับ ประดิษฐ์ก็ยิ่งสำแดงฤทธิ์เดช โวยวายหยาบคายจนวลัยทนไม่ได้ชี้หน้าด้วยความโมโห
"นี่...คุณประดิษฐ์"
"กรุณาเรียกผมว่าดิ๊ก ผมไม่ชอบชื่อไทย"
"ชื่อเป็นฝรั่ง แต่ฉันไม่เห็นว่าคุณจะทำตัวเป็นผู้เจริญแล้ว อย่างฝรั่งเขาเลย"
ประดิษฐ์โกรธหูแดง สมรหน้าไม่ดี ปรามวลัยว่าพูดแรงไปหรือเปล่า
"แก เฉยๆ ฉันจัดการเอง" วลัยบอกเพื่อน แล้วฉะนายดิ๊กต่อ "ยัยมาน่ะเพื่อนรักของพวกฉัน ถ้าคุณคิดจะมาเป็นเพื่อนเขยพวกฉัน ขอบอกว่าคุณต้องปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ ขืนยังเห็นเพื่อนฉันเป็นของง่ายของตายก็ฝันไปเถอะ ยังมีผู้ชายดีๆ ที่คู่ควรกับยัยมาอีกเยอะ"
"มาเขาไม่มีวันเห็นคนอื่น แม้แต่พวกคุณดีไปกว่าผมหรอก ชาตินี้เขาขาดผมไม่ได้หรอก ไม่เชื่อก็คอยดู" ประดิษฐ์เอ่ยอย่างมั่นใจ แล้วยิ้มกวนๆ ก่อนจะออกไป วลัยโกรธ กำมือแน่น ถามสมรว่า ถ้าผู้หญิงชกหน้าผู้ชายผิดกฎหมายไหม เธออยากจะตั๊นหน้าหมอนี่จังๆซักที
"ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะวลัย ยังไงเขาก็เป็นแฟนของเพื่อนเรานะ..."


ooooooo


ที่ บ้านคุณนายวัน...แม่ปุยเทอาหารหมูที่ผสมแล้วลงในรางข้าวหมู มาลินียืนมองอย่างพะอืดพะอมกับกลิ่นที่ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีวันทำตัวให้ คุ้นชินได้
"ปกติให้มันกินวันละสองมื้อนะคะคุณ เพลกับเย็น ธรรมดาผู้ใหญ่เขาเป็นคนมาให้มันเอง ถ้าเขาธุระยุ่งบางทีก็ป้า บางทีก็เฉลา ฉลวย สลับกันมาค่ะ"
"เลี้ยงเอาไว้ทำไมคะคุณป้า"
"ก็เอาไว้ขายน่ะสิคะ คุณ หมูบางรุ่นจังหวะราคาดีๆ คนซื้อมาแข่งกันให้ราคาหน้าคอกนี่เลยนะคะ แทบจะวางมวยกันก็ยังเคย รุ่นนี้อีกซักเดือนสองเดือนก็ขายได้แล้ว ตอนคุณนายวัน ยังอยู่ บางปีขายหมูได้เป็นแสนเชียวนะคะคุณ"
"ยายคงสนุก แต่หนูคงจะไม่สนุกด้วยเท่าไหร่"
"หมูพวกนี้มันเลี้ยงง่ายจะตายไปค่ะคุณ อาบน้ำให้มันมั่ง ขยันล้างคอกให้มันหน่อย"
"บ้าน ตัวเองยังไม่มีเวลากวาดถูเลย ต้องมาล้างบ้านให้หมูอีก" มาลินีบ่นเบาๆ พอถูกแม่ปุยถามว่า คิดจะย้าย มาอยู่เลยเมื่อไหร่ มาลินีตอบทันทีว่า "หนูยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ เลยค่ะ"
"เอาเถอะค่ะ ค่อยๆคิดไป แต่ถ้าคุณมาอยู่ได้ คุณนายวันแกคงจะดีใจไม่น้อย" มาลินียิ้มแห้งแล้งเพราะท่าทางจะไม่มีวันนั้น "แหม เผลอแผล็บเดียวจะเที่ยงแล้ว ป้ากลับก่อนดีกว่า เย็นๆไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านสิคะคุณ"
"ค่ะ หนูก็อยากไปเที่ยวบ้านคุณป้าอยู่เหมือนกัน จะได้รู้จักผู้ใหญ่ลีซะที"
"เจอแน่ค่ะ เย็นๆค่ำๆละได้เจอแน่ ป้ากลับก่อนนะคะ"
แม่ปุยเดินออกไป มาลินีขยับเดินเข้ามาดูหมูในคอก เอามือปิดจมูกอย่างทนกลิ่นไม่ได้
"ซุปเปอร์โมเดลอย่างฉันจะต้องกลายมาเป็นคนเลี้ยงหมูเหรอ" ว่าแล้วเธอทำท่าขนลุกขนพองกับจินตนาการของตัวเอง
อีกพัก มาลินีสวมหมวกปีกกว้างแฟชั่นจ๋าเดินเรื่อยออกไปตามคันนาที่ทอดยาว เธอเห็นด้านหลังชายคนหนึ่งกับควายอีกตัวแช่อยู่ในน้ำ
"คุณ คะคุณ ที่ดินคุณนายวันไปสุดตรงไหนรู้ไหม ฉันเดินดูไม่เห็นล้อมรั้วอะไรไว้เลย แล้วจะรู้ได้ยังไง" ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องถาม ชายหนุ่มเจ้าของควายจึงเงยหน้ามอง
"นี่มันบ้านนอกนะคุณ ไม่ใช่กรุงเทพฯ เอะอะอะไรก็ล้อมรั้ว กลัวโจรมาปล้น"
"นี่ นายอีกแล้วเหรอ นายนี่มันกล้าจริงๆนะ ยังจะมา วนเวียนอยู่แถวนี้อีก" มาลินีคว้าไม้ขึ้นมาเตรียมป้องกันตัว ลีนวัตรรีบสั่งให้เธอหยุด แล้วชี้มือสาธยายอย่างรู้จริง
"สุดเขตที่คุณนายวันตรงนั้นแหละ ที่นาคุณนายวันมีสองร้อยไร่ ที่สวนอีกยี่สิบไร่ ข้ามมานี่ มันที่ผู้ใหญ่ลีเขา"
"อ้อ รู้ดี"
"แล้วตกลงจะขายไม่ขายล่ะ"
"ฉันจะขายหรือไม่ขายมันเกี่ยวอะไรกับนาย"
"ขาย ชัวร์ วันๆดีแต่แต่งหน้าทาปาก เดินบิดตูดไปเดินบิดตูดมา แล้วจะมาอยู่ยังไง ตายยังเขียด" มาลินีโกรธตัวสั่นที่โดนสบประมาท "กลับไปอยู่กรุงเทพฯ นอนคอนโดฯเปิดแอร์เย็นๆอยู่กับผัวเถอะคุ้ณ ขายที่ตรงนี้ได้ก็สบายไปทั้งชาติ ผู้ใหญ่ลีเขาอยากจะซื้ออยู่...ไปโว้ยอีเฉาก๊วย กลับบ้านเรา"
เฉาก๊วยลุก ขึ้นจากน้ำตัวดำมะเมื่อม มาลินีโกยแน่บ เพราะเข็ดขยาด หนีไปตั้งหลักไกลๆ ลีนวัตรกระโจนขึ้นขี่หลังเฉาก๊วย แล้วบังคับเดินตรงไปทางมาลินี
"หลบ... ทางควายเดิน คนหลบไปก่อน" เขาร้องบอก เธอจำใจลงจากคันนาเพื่อให้ควายเดิน ดีกว่ายืนขวางเสี่ยงให้มันขวิด...ลีนวัตรยิ้มชอบใจและสะใจ แหกปากร้องเพลงประจำตัว พาเฉาก๊วยผ่านไปอย่างลอยนวล ทิ้งมาลินีเต้นเร่าๆอยู่ในโคลน เจ็บใจที่เสียทีผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
ระหว่าง ทางกลับบ้าน ลีนวัตรเจอเหว่าซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของตน ลีนวัตรจึงวานเหว่าเอาควายเข้าคอก ส่วนตนจะไปถางหญ้าตรงหลักเขตที่ของคุณนายวัน ขณะเหว่าจูงควายออกไป ปื๊ดก็วิ่งหน้าเริ่ดสวนเหว่ามาเรียกพ่อให้รอด้วย เพราะนึกว่าพ่อจะไปบ้านคุณนายวัน พอรู้ว่าตนเองเข้าใจผิด ปื๊ดเลยร้องว้าด้วยความเซ็ง บอกพ่อไปเหอะ หนูมีงานสำคัญกว่าถางหญ้าต้องทำ
"ไปเฝ้าหลานสาวคุณนายวันเนี่ยนะ งานสำคัญของเอ็ง" ลีนวัตรดักคออย่างรู้ทัน
"แหมพ่อ ถ้าไม่เช้าถึงเย็นถึงจะชนะใจหญิงได้ไง พ่อนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย"
เด็กชายปื๊ดใช้ลิ้นเลียมือแผล็บแล้วป้ายเซตทรงผม ลีนวัตรหมั่นไส้ ดีดเข้าให้ทีนึง
"แก่แดดแก่ลมเกินไปแล้วเอ็ง กวาดบ้านถูเรือนรึยังก่อนออกมาเนี่ย"
"กวาดแล้วถูแล้ว" ตอบแล้วปี๊ดวิ่งหนีออกไปทันที
"ถึงวันที่เขาไป เอ็งจะอกหักเปล่าๆ ไอ้ปี๊ดเอ๊ย" ลีนวัตร เอ่ยขึ้นมา เหมือนจะย้ำเตือนตัวเองด้วยเหมือนกัน


ooooooo


มาลินี หิ้วรองเท้าคู่สวยที่เปื้อนโคลนจนไม่เหลือเค้าความงามความแพงมาวางใกล้ตุ่ม น้ำ แล้วจัดการล้างเท้าขัดถูโคลนออกจากเล็บอย่างได้รับทุกขเวทนายิ่ง
"เล็บฉัน...อุตส่าห์เพิ่งทำมา แล้วนี่กลับไปฉันจะมองหน้าคนทำเล็บได้ยังไง"
เสียงบ่นของมาลินีทำให้ปื๊ดต้องเดินเข้ามามองอย่างแปลกใจ
"คุณตกขี้โคลนท้องนาอีกแล้วเหรอครับ"
"ก็ใช่น่ะสิปื๊ด แย่จังเลยรองเท้าฉันแบรนด์เนมด้วย คู่นี้ตั้งเกือบหมื่น ฉันโกรธจริงๆนะเนี่ย"
"คุณตกลงไปได้ยังไงครับ วิ่งหนีอีเฉาก๊วยอีกรึเปล่า"
"ควาย น่ะมันไม่น่ากลัวเท่าคนหรอกปื๊ด ทั้งหยาบคาย อันธพาล แล้วก็ไม่ให้เกียรติผู้หญิง ฉันมั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนงานเลี้ยงควายของผู้ใหญ่ลีแหงๆเลย"
"พี่เหว่าน่ะเหรอครับ"
"ชื่ออะไรนะจ๊ะปื๊ด"
"ถ้าเป็นคนงานของพ่อที่ดูแลอีเฉาก๊วย ก็ต้องพี่เหว่าละครับ"
"นาย เหว่า...ดีล่ะ ฉันจะจำชื่อนี้ไว้จนตายเลย จะฟ้องพ่อเธอให้ไล่ออกด้วย" แต่ปื๊ดรับรองว่าพี่เหว่าเป็นคนดี "ดีเหรอ ชอบแกล้งผู้หญิงอย่างนี้เรียกว่าดีเหรอ ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย คอยดู นี่ปื๊ดเพิ่งกลับจากโรงเรียนเหรอ ฉันน่ะคิดถึงปื๊ดทั้งวันเลยรู้ไหม"
"จริงเหรอครับ" เด็กชายอายหน้าแดงบิดม้วนสุดเขิน
"จริงสิ ไม่มีปื๊ดซะคน ฉันว่าฉันลำบากมากเลยละ อย่างน้อยก็ไม่มีเพื่อนคุย แล้วก็ต้องทนกินข้าวกลางวันที่แสนจะไม่อร่อยเลย"
ปื๊ด อยากรู้เมื่อกลางวันมาลินีทำอะไรกิน มาลินีเล่าว่าเธอตั้งใจจะเจียวไข่ แต่ข้าวมันระเบิดออกมาจนล้นหม้อทำให้ไฟในเตาดับหมด เลยต้องกินข้าวต้มกับผักกาดกระป๋อง
"น่าสงสารจังเลยครับ เอายังงี้ดีกว่า แก้ตัวมื้อเย็น"
"ปื๊ดจะหุงข้าวเจียวไข่ให้ฉันเหรอจ๊ะ"
"เปล่าครับ ผมจะชวนคุณไปกินข้าวที่บ้านผมต่างหาก วันนี้แม่แกงส้มปลาช่อนหน่อไม้ดองด้วย พูดแล้วน้ำยาย
ไหย...ซี้ด"
มาลินีขอบใจหนุ่มน้อย และคาดหวังว่าเย็นนี้เธอจะได้เจอผู้ใหญ่ลีพ่อของปื๊ดสักที
ทางด้านผู้ใหญ่ลี เขาเพิ่งกลับขึ้นเรือน เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อหลังจากไปถางหญ้านานนับชั่วโมง
"ไปถึงไหนมาล่ะผู้ใหญ่" แม่ปุยร้องถามขณะเดินออกมาจากในครัว
"หลานสาวคุณนายวันแกอยากรู้ว่าเขตที่ดินอยู่ตรงไหนบ้าง หนูก็เลยไปถางหญ้าเอาไว้ให้ เขาจะได้เห็นแจ้งๆ"
เฉลาอยู่ในครัว เห็นปลอดคนไม่มีใครสนใจ เลยรีบแอบตักแกงส้มหน่อไม้ดองใส่ถ้วย แล้วเอาไปวางแอบมุมนึงที่พื้น
"ที่ ตั้งสองร้อยไร่ ถ้าขายแกก็ได้เงินโข หลานสาวคุณนายวันนี่แกเกิดมาโชคดีจริงๆนะแม่นะ" ฉลวยพูดแล้วพยักพเยิดกับแม่ ขณะที่มือก็ถูพื้นนอกชาน แต่แม่กลับไม่เห็นด้วย บอกว่าเขาอาจจะไม่ขายก็ได้
"แต่หนูว่ายังไงก็ขาย" ลีนวัตรสวนขึ้นมา "ไม่ขายแล้วเขาจะมาอยู่ยังไง เดินท้องนายังใส่รองเท้าส้นสูงเลยแม่ เขามาอยู่ไม่ได้หรอก อยู่กรุงเทพฯเขาเป็นดารา แต่มาอยู่นี่เขาไม่ได้เป็นอะไรเลย อกแตกตายกันพอดี"
เฉลาโผล่ออกจากครัวจะลงไปข้างล่างเพื่อแอบเอาแกงส้มที่ ตักใส่ถ้วยไว้ไปให้เหว่า พอถูกแม่ถามว่าจะไปไหน เฉลาอ้างว่าจะไปโปรยข้าวให้ไก่ ฉลวยรีบบอกพี่สาวว่าตนให้แล้ว เฉลาเลยเปลี่ยนไปเก็บพริก แต่แม่ก็เก็บมาหมดแล้ว
"งั้นหนูไปตัดดอกไม้ มาบูชาพระแล้วกัน" เฉลาหาเรื่องลงจากเรือนไปจนได้ คนอื่นๆไม่ได้สนใจนัก มัวแต่สนใจเรื่องของมาลินีว่าจะขายหรือไม่ขายที่ ฉลวยที่รู้ใจพี่ชายว่าแอบชอบมาลินี จึงตั้งคำถามว่า ถ้าเขาเกิดขายขึ้นมา พี่ลีจะดีใจหรือเสียใจ ลีนวัตรย้อนน้องสาวว่าถามโง่ๆ ก็ต้องดีใจอยู่แล้ว ได้ที่เพิ่มทำไมจะไม่ดีใจ
"ดีใจจริงน่ะ" ฉลวยถามยิ้มๆ
"เอ...อะไรของเอ็งวะหลวย แซวอะไรเนี่ย"
แม่ปุยตัดบท ไล่ลูกชายไปอาบน้ำจะได้มากินข้าว
ลี นวัตรไม่วายเขกหัวฉลวยหนึ่งทีก่อนออกไป ฉลวยโอดครวญฟ้องแม่ ที่พี่ชายแกล้งเขกหัวตนอยู่ได้ ทั้งที่ตนโตแล้ว และฉลวยยังปากดีทำตัวเป็นหมอดูเดาใจพี่ชายว่าไม่อยากให้หลานสาวคุณนายวันขาย ที่ให้หรอก พี่ลีอยากเห็นหน้าเธอไปนานๆมากกว่า แม่ปุยเลยเขกหัวซ้ำไปอีกที โทษฐานที่ฉลวยรู้ดีนัก
มาลินีกำลังแต่งหน้าด้วยอุปกรณ์ชุดใหญ่เตรียมตัวจะไปกินข้าวเย็นกับปื๊ดที่บ้าน ปื๊ดนั่งมองตาค้างอย่างไม่เคยเห็น
"ไปกินข้าวเฉยๆ ผมว่าคุณไม่ต้องแต่งอะไรเลยก็สวยอยู่แล้วครับ"
"แหม... ถ้าผู้ชายทั้งโลกคิดได้อย่างปื๊ดก็ดีสิจ๊ะ ไม่ได้ หรอก ฉันเป็นซุปเปอร์โมเดลนะจ๊ะ จะปรากฏตัวต่อหน้าใคร ถ้าไม่ได้แต่งหน้า ฉันไม่มั่นใจหรอกจ้ะปื๊ด"
"ถ้าแม่แต่งยังงี้บ้างพ่อจะว่ายังไงน้า...คงขำกลิ้งไปเลย"
"ขำทำไมจ๊ะ เรื่องความสวยความงามกับผู้หญิงมันเป็นของคู่กัน พ่อปื๊ดจะยิ่งรักแม่เขาต่างหาก"
"พ่อเขาไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้าทาปากแดงๆหรอกครับ พ่อว่ามันเหมือนจะไปเล่นงิ้ว พวกผู้หญิงในตลาดแต่งหน้ากันมาจีบพ่อผม พ่อผมไม่แลซักคน"
"ก็พ่อเธอมีแม่เธอแล้ว จะไปแลใครได้ยังไงล่ะจ๊ะ"
"แม่ผมอยากให้พ่อมีแฟนเสียทีจะตาย"
"อะไรกัน...แม่เธอน่ะเหรออยากให้พ่อเธอมีแฟน"
"ครับ...แม่เปรยๆอยู่หลายหนว่าใครจะเหมาะกับพ่อ"
"นี่ฉันเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าเนี่ย คนแถวนี้คิดอะไรกันประหลาดๆ แล้วพ่อเธอเป็นคนเจ้าชู้ไหมจ๊ะปื๊ด"
"ไม่ หรอกครับ ไม่เจ้าชู้ เหมือนผมนี่แหละ แต่ก็มีผู้หญิงชอบมาส่งสายตาจีบพ่อเยอะแยะ" ยิ่งฟังมาลินีก็ยิ่งแปลกใจว่าทำไมแม่ของปื๊ดถึงไม่ว่าอะไร "ก็อย่างที่ผมบอกละครับ แม่ก็ดูๆอยู่ว่าจะเลือกใครดี"
"แปลก...แปลกจริงๆด้วย"

เฉลาซึ่งมีใจอยู่กับเหว่า และค่ำนี้เธอแอบตักแกงส้มมาให้เขาที่ข้างยุ้งข้าว เหว่าดีใจและซึ้งใจที่เฉลาดีต่อตนเหลือเกิน แต่ก็อดตัดพ้อน้อยใจวาสนาของตนเองไม่ได้ ที่เกิดมาเป็นได้แค่คนงาน มีความรักทั้งทีก็เหมือนหมาที่ได้แต่แหงน มองเครื่องบินบนฟ้า ไม่รู้ชาตินี้จะได้เด็ดดอกฟ้าหรือเปล่า
"สักวันถ้าพี่พยายามสร้างเนื้อ สร้างตัว แม่กับพี่ลีต้องเห็นใจเรา" เฉลาให้กำลังใจ เหว่าจึงบอกว่าตนจะอดทนแล้วก็รอวันนั้น พูดพลางก็จับมือเฉลาขึ้นมาจะจูบ แต่พอดีปื๊ดพามาลินีผ่านมาเพื่อจะขึ้นบ้าน เหว่าตกใจปล่อยมือเฉลาทันที และรีบหลบไปอีกทางตามที่เฉลาเร่ง
ปื๊ดสงสัยพี่เฉลามาทำอะไรมืดๆตรงนี้ เฉลาอ้างเอาตัวรอดว่าลงมาดูว่าปลวกขึ้นยุ้งข้าวหรือเปล่า แล้วเฉลาก็ยกมือไหว้มาลินีเมื่อปื๊ดแนะนำว่าเธอเป็นหลานของคุณนายวัน ขณะสองคนทักทายทำความรู้จักกัน ปื๊ดก็วิ่งแจ้นเป็นฆ้องปากแตกไปบอกทุกคนบนเรือนว่าหลานสาวคุณนายวันมาแล้ว ให้เตรียมจานชามสวยๆใส่อาหาร จะได้เชิดหน้าชูตาพ่อกับแม่
ลีนวัตรตกใจตาเหลือก ยิ่งรู้ว่ามาลินีมาอยู่ตีนบันไดแล้ว ลีนวัตรถึงกับอุทานว่า "ตายโหง"
"อะไรกันพี่ลี แค่แขกจะมากินข้าวด้วยแค่เนี้ยจะเป็นจะตายให้ได้" ฉลวยบ่น
"ผู้ใหญ่ลีไม่อยู่ เข้าใจไหมแม่ เข้าใจไหมหลวย เข้าใจไหมไอ้ปื้ด แล้วห้ามปากสว่างนะโว้ย"
ทุก คนงงเต้ก ลีนวัตรลนลานวิ่งหาที่ซ่อนตัว เสียงเฉลาเรียกแม่ และพามาลินีขึ้นบันไดมา ลีนวัตรยิ่งกว่าเห็นผี โกยแน่บเข้าห้องปิดประตูชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วก็แอบดูความเคลื่อนไหวผ่านรูข้างฝา
ได้เห็นมาลินีตัวเป็นๆใกล้ๆ น้องสาวทั้งสองของลีนวัตรชื่นชมความสวยของเธอกันใหญ่ และท่าทางทุกคนก็ชื่นชอบถูกชะตากับเธอมากด้วย ทำให้มาลินีรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่พอเธอถามหาผู้ใหญ่ลีที่เธออยากพบเหลือเกิน แม่ปุยกลับบอกว่าผู้ใหญ่ลีไปตรวจท้องที่ เฉลางงว่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อกี้ยังอยู่หน้าบ้าน แม่ปุยเลยบอกว่าเขาออกไปทางหลังบ้าน และคงจะกลับดึก แต่มาลินีก็ยืนยันว่ายังไงวันนี้เธอต้องเจอผู้ใหญ่ลีให้ได้ แม่ปุยจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ พยักพเยิดไปตามน้ำ
ระหว่างรอฉลวยกับเฉลาตั้ง สำรับ มาลินีวานปื๊ดพาเธอชมทั่วๆบ้าน เผื่อจะได้เห็นรูปถ่ายผู้ใหญ่ลีสักบาน ปื๊ดรับคำด้วยความเต็มใจ แต่ลีนวัตรที่แอบมองอยู่ในห้องสะดุ้งวาบ แล้วทำตัวเป็นนินจา หยิบรูปถ่ายรับปริญญาที่แขวนอยู่หน้าห้องเข้ามาเก็บโดยที่มาลินีไม่ทัน เห็น แต่ปื๊ดนั้นเห็นเต็มตา จึงบอกมาลินีว่าบางทีพ่อของตนก็เล่นกลหายตัวให้ตนดูด้วย
"เหรอจ๊ะ แหม พ่อเธอนี่เป็นผู้ชายที่อบอุ่นนะ ฉันยิ่งจินตนาการไม่ออกเลยว่าผู้ชายแก่ๆ เล่นกับเด็กจะดูน่ารักขนาดไหน"
"พ่อผมไม่ได้แก่อย่างที่คุณคิดหรอกครับ"
"แต่อย่างน้อยก็ต้องห้าสิบกว่าๆละ จริงไหม"
"บาง ทีเวลาพ่อเครียดๆ ก็เหมือนคนแก่เหมือนกันครับคุณ อย่างตอนเนี้ย" ปื๊ดพูดยิ้มๆ มาลินีไม่ได้สงสัยอะไร ซักถามปื๊ดว่านอนห้องไหน ปื๊ดบอกไม่แน่ บางทีร้อนๆก็กางมุ้งนอนนอกชาน ตรงนี้ก็นอนบ่อยๆ แต่ถ้าพ่อเล่าเรื่องผีตนก็จะไปนอนกับพ่อในห้อง "คุณอยากดูไหมล่ะครับว่าผมนอนยังไง"
"จะดีเหรอจ๊ะ มันห้องส่วนตัวของพ่อเธอ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ พ่อไม่อยู่อยู่แล้ว แม่ก็ไม่ว่าหรอก"
ปื๊ดยินดีนำเสนอ ความจริงนึกสนุกอยากแกล้งพ่อผู้ใหญ่ลีของตนมากกว่า แต่ลีนวัตรที่อยู่ในห้องนั้นลนลานพล่านไปหมด จะเอาตัวรอดยังไงดี
เมื่อประตูห้องเปิดออก ปื๊ดยิ้มแฉ่งเดินนำมาลินีเข้ามา
"แหม...เหมือนห้องคนโสดเลยนะจ๊ะ แต่ฉันว่าออกไปกันเถอะ เดี๋ยวแม่เธอว่าเอา"
"แม่ไม่ว่าหรอกครับ แม่ไม่ได้นอนห้องนี้ซะหน่อย"
"อ้าว...พ่อกับแม่เธอไม่ได้นอนห้องเดียวกันหรอกเหรอจ๊ะ"
ปื๊ดนั่งทับลงไปบนม้วนเสื่ออย่างแรง ลีนวัตรซ่อนตัวอยู่ข้างในแทบจุก
"เปล่าครับ แม่นอนห้องโน้นกับพี่หลวย"
"บ้านเธอนี่ก็มีอะไรแปลกๆเหมือนกันนะ"
ปื๊ดถามว่าแปลกยังไง มาลินีรีบบอกปัดว่าไม่มีอะไร อย่าไปสนใจเลย
"คุณ มานั่งตรงนี้ด้วยกันสิครับ" ปื๊ดไม่พูดเปล่า ดึงมาลินีลงมานั่งทับบนม้วนเสื่ออีกคน ถึงแม้จะมีหมอนและผ้าห่มรองอีกชั้นแต่ลีนวัตรก็จุกลิ้นห้อย แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียง
เสียงแม่ปุยร้องเรียกปื๊ดให้พามาลินีออกมากินข้าว ได้แล้ว เหมือนระฆังช่วยชีวิตลีนวัตรแท้ๆ สองคนลุกเดินออกไป ส่วนลีนวัตรตัดสินใจปีนหน้าต่างลงไปข้างล่าง หลบเข้าใต้ถุนฟังเสียงทุกคนสนทนากันไปกินข้าวกันไป

ขณะที่ลีนวัตรซุกตัว อยู่มุมนึงในความมืดใต้ถุนบ้าน มองค้อนขึ้นไปบนเรือน พลางก็ตบยุง เหว่าถือถ้วยแกงมาจากทางหนึ่ง จะแอบเอามาวางคืนให้เฉลา ลีนวัตรเห็นเข้า ถามเหว่าเบาๆว่าทำอะไร เหว่าสะดุ้งสุดตัว แล้วแต่งเรื่องว่า
"ถ้วย แกงจ้ะ สงสัยว่าปื๊ดมันจะตักข้าวเดินร่อนกินไปทั่ว ฉันไปเจอถ้วยใบนี้แถวยุ้งก็เลยเก็บมาให้จ้ะ แล้วผู้ใหญ่มานั่งตากยุงอยู่แถวนี้ทำไม"
"แม่แกมีแขก เลยขี้เกียจอยู่ข้างบนว่ะ"
"อ้าว...แขกป้าปุยไม่ใช่แขกผู้ใหญ่เรอะ"
"มันก็ใช่...แต่ฉันไม่อยากเจอหน้าตอนนี้นี่หว่า"
"นึกออกแล้ว ต้องเป็นหลานสาวคุณนายวันแหงๆเลย ผู้หญิงขาวๆสวยๆ ผู้ใหญ่นี่แปลก ทำไมไม่อยากเจอหน้า เป็นฉันละก็..."
"เฮ่ย น้อยๆหน่อย...หลานสาวคุณนายวันนะโว้ย"
"เห็นว่าเป็นดารานางแบบอะไรด้วยไม่ใช่เหรอผู้ใหญ่"
"ผู้หญิงสวยๆน่ะ เป็นอันตรายอย่างที่สุดของผู้ชาย เอ็งจำไว้ให้ดีเลยไอ้เหว่า อยู่ให้ห่างๆ ไว้เป็นดี"
เห ว่านิ่วหน้าไม่เข้าใจนัก ส่วนบนบ้าน ฉลวยจะเติมข้าวให้มาลินีอีก มาลินีรีบปฏิเสธเพราะกินไปสองจานแล้ว แม่ปุยบ่นเสียดายที่มาลินีไม่ได้กินพุงปลาช่อน ไม่รู้ใครมือดีมาตักไปเสียก่อน เฉลาหลบตากลัวความแตก เพราะเธอแอบตักไปให้เหว่านั่นเอง พอปื๊ดบอกว่าสงสัยพ่อเอาไปกิน เฉลาได้ทีผสมโรงไปกับปื๊ดว่าเห็นแกป้วนเปี้ยนอยู่แถวครัวเหมือนกัน
"ตกลงผู้ใหญ่ลีแกจะกลับดึกรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ" มาลินีเปรยขึ้นมา
"เอา แน่อะไรกะเขาไม่ได้หรอกค่ะคุณ บางทีกลับมาเช้าเลยก็ยังเคย บางทีนึกจะโผล่ก็โผล่" แม่ปุยพูดขาดคำก็มีเสียงเรียกดังสวนขึ้นมาจากหน้าบ้าน
"แม่ปุย...แม่ปุย"
มาลินี หูผึ่งหันขวับเพราะความรู้สึกแรกมั่นใจซะยิ่งกว่าอะไรว่าต้องเป็นผู้ใหญ่ลี แน่ๆ พอเขาคนนั้นก้าวขึ้นบันไดมา มาลินีก็ลุกพรวดเดินไปพนมมือไหว้อ่อนช้อย "สวัสดีค่ะผู้ใหญ่ลี"
ทองใบตกใจรับไหว้อัตโนมัติ ขณะที่พวกแม่ปุยอ้าปากค้างตัวแข็ง
"ขอบ พระคุณมากนะคะที่ช่วยจัดแจงเรื่องงานศพคุณยาย แถมยังดูแลบ้านช่องให้ด้วย ถ้าไม่ได้ผู้ใหญ่ลีหนูคงลำบากจัดแจงอะไรไม่ถูกแน่ๆเลยค่ะ"
"คุณครับ...คือ..." ปื๊ดเอ้ออ้าไม่ทันมาลินี
"ปื๊ดเป็นเด็กน่ารักมากเลยค่ะ มีน้ำใจช่วยหนูหลายอย่าง ผู้ใหญ่ลีทานข้าวก่อนก็ได้ค่ะ ป่านนี้คงจะหิวน่าดู"
"กินมารึยังล่ะทองใบ"
"กินมาแล้วล่ะแม่ปุย จะมาคุยกับผู้ใหญ่เขาเรื่องโรงเรียนสอนควายไถนาน่ะแหละ จะเอายังไง"
"ผู้ใหญ่ลียังไม่กลับมาเลย จะคอยไหมล่ะ"
"อ้าว..." มาลินีร้องขึ้น แม่ปุยหันมายิ้มให้มาลินีอย่างเกรงใจ แล้วแนะนำว่านี่นายทองใบ บ้านอยู่ถัดไปนี่เอง "ตกลง...ไม่ใช่ผู้ใหญ่ลีเหรอคะ"
"ผู้ใหญ่ลีแกหล่อกว่าผมเยอะครับ" ทองใบพูดกลั้วหัวเราะ
"อีกแล้วเหรอ" มาลินีครางเบาๆ ไม่กล้าสบตาใคร หน้าแตกยับเยินอีกแล้ว...
ครั้น ปื๊ดพามาลินีกลับมาส่งที่บ้านคุณนายวัน ปื๊ดสังเกตเห็นมาลินีเงียบมาตลอดทาง นึกว่าเธอง่วงนอน แต่เธอกลับบอกว่ากำลังใช้ความคิดต่างหาก
"ใช้ความคิด...เรื่องผมรึเปล่าครับ"
"บอกตามตรงนะ ฉันอดคิดไม่ได้หรอกว่าผู้ใหญ่ลีพ่อของเธอน่ะ กำลังพยายามหลบหน้าหลบตาฉันอยู่"
"ทำไมคุณคิดยังงั้นล่ะครับ"
"ก็นี่มันหลายหนแล้วนะ ที่ฉันต้องทักคนผิด หน้าแตกไม่มีชิ้นดี"
"จริงๆแล้วพ่อผมแกคงไม่ได้อยากจะหลบหน้าคุณหรอกมังครับ"
"อืม... ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ฉันฝากปื๊ดไปบอกเขาด้วยก็แล้วกัน ให้เขาสละเวลามาคุยกันหน่อย เรื่องที่ดินจะซื้อจะขายกันยังไง มันจะได้จบๆซะที"
"ตกลงคุณจะขายที่ให้พ่อผมจริงๆ เหรอครับ คุณจะไม่มาอยู่ที่นี่เหรอครับ"
"ฉัน จะมาอยู่ได้ยังไงปื๊ด ฉันเป็นคนกรุงเทพฯ ฉันเกิดแล้วก็โตในกรุงเทพฯ ให้ฉันมาอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้ ฉันอยู่ไม่ได้หรอกจ้ะ"
ปื๊ดใจ แป้ว เสียดายอย่างบอกไม่ถูก...ปื๊ดเดินคอตกกลับไปเจอลีนวัตรยืนคอยอยู่ข้างทาง ลีนวัตรแกล้งโยนไม้ไปข้างหน้าปื๊ดกะให้ตกใจเล่น แต่ปื๊ดเฉย งอนใส่ด้วยซ้ำ ทำให้ ลีนวัตรงุนงงว่าไอ้ลูกชายตัวดีเป็นอะไรไป
ปื๊ดหา ว่าพ่อชอบแกล้งมาลินี ทำให้เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ ลีนวัตรอธิบายว่ามันไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก เขามันคนกรุง จะมาอยู่ได้ยังไงที่นี่ กรุงเทพฯมันเป็นสวรรค์ของคนกรุงต่อให้ เอ็งพูดจนคอแตกเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจหรอก
"งั้นหนูจะทำให้คุณแกเปลี่ยนใจเอง หนูจะทำให้แกอยากอยู่ที่นี่ให้ได้เลย"
"เอ็งจะทำยังไงของเอ็ง"
"หนูมีวิธีของหนูก็แล้วกัน" ปื๊ดหน้าตูม เดินลิ่วๆ ออกไป...
มาลินี เข้ามุ้งล้มตัวลงนอน พลันก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังแว่วหวาน จนเธอต้องลุกเดินไปที่หน้าต่างเหมือนอยากจะได้ยินให้ชัดกว่านี้...จากนอก หน้าต่าง ลมโชยอ่อนๆ มาลินีรู้สึกสบายใจ รอยยิ้มเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ครู่หนึ่งก็เดินกลับมามุดมุ้งเข้านอน
"จบ ไปอีกวัน...พรุ่งนี้ฉันจะต้องเจอผู้ใหญ่ลีให้ได้เลย คนอะไรหาตัวได้ยากเย็น คงจะนึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญนักหนาละมั้ง" พูดงึมงำพึมพำกับตัวเองแล้วมาลินีหลับตาลง ฟังเพลงต่อ "ขอบใจนะจ๊ะคนเป่าขลุ่ย ทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นมาเยอะเลย อย่าเพิ่งหยุดเป่านะ ให้ฉันหลับก่อน..."


0 Comments:

Post a Comment



บทความใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก

Blogger Template by Blogcrowds