ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ตอนที่ 1


ภายในสตูดิโอถ่ายแฟชั่นนิตยสารชื่อดังอันดับต้นๆของเมืองไทย...มาลินี นางแบบสาวสวย กำลังถูกช่างแต่งหน้าทำผมมะรุมมะตุ้มแข่งกับเวลา เสร็จแล้วมาลินีในชุดแฟชั่นก็เตรียมโพสท่า แต่ประดิษฐ์ แฟนหนุ่มของมาลินีที่ยืนอยู่มุมหนึ่งมองมาอย่างรำคาญลูกตา
"ชุดบ้าอะไรวะ ไม่เห็นสวยเลย" เสียงประดิษฐ์สำรากออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร มาลินีชะงักแทบสะอึก ขณะที่สไตลิสต์หันขวับไปตอบโต้ประดิษฐ์อย่างเหลืออด
" นี่คุณดิ๊ก หลายหนแล้วนะคะ คุณเป็นใครไม่ทราบ เจ้าของหนังสือก็ไม่ใช่ เจ้าของเสื้อผ้าก็ไม่ใช่ แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาวิพากษ์วิจารณ์งานของฉัน"
"ก็มันไม่สวยจริงๆนี่หว่า เสื้อผ้าอย่างนี้ขืนใส่ออกมาเดินถนนหมาเห่าตาย"
"มันเป็นแฟชั่นเข้าใจไหมคะ แฟชั่นน่ะ"
"แต่มันทำให้แฟนผมดูไม่ดี"
มาลินีพยายามจะปรามแฟนหนุ่มแต่ไม่เป็นผล สองคนทุ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดง
"แต่ฉันเป็นสไตลิสต์ คนที่จะตัดสินงานชิ้นนี้คือฉัน"
"งานห่วยๆ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละจะแต่งตัวแบบนี้"
"คุณออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลยนะ ความจริงคุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาด้วยซ้ำ"
"ถ้างั้นก็เลิกถ่าย....กลับ...มาลินี"
ทุกคนอ้าปากค้างกับคำบัญชาของประดิษฐ์ มาลินีเกรงใจสไตลิสต์ รีบไกล่เกลี่ย
"ใจเย็นๆนะคะพี่บ๊วย...เดี๋ยวมาจัดการเองค่ะ" ว่าแล้วมาลินีเข้าต้อนประดิษฐ์ออกไป ประดิษฐ์ท่าทางฮึดฮัดขัดใจเป็นที่สุด...
" โอ๊ย...ถ้าฉันติดคุกใครจะไปประกันตัวฉันบ้างเนี่ย" พี่บ๊วยแผดเสียงไล่หลัง ช่างผมเลยสงสัยว่าพี่บ๊วยจะทำอะไร "ฉันจะบีบคอผู้ชายคนนี้ให้ตายคามือน่ะสิ"
พาออกมาหน้าสตูดิโอแล้ว ประดิษฐ์ยังไม่เลิกปากเสีย จนมาลินีอ่อนใจ
"เสื้อผ้าห่วยๆแบบนี้ไปเป็นแบบให้มัน...เกรดเราตกเปล่าๆ ไป...กลับ"
"ดิ๊กกลับไปก่อนนะคะ"
"หมายความว่ายังไง"
"มาจะกลับเข้าไปทำงานให้เสร็จก่อนค่ะ"
"จะบ้าเหรอ มีสมองรึเปล่าเนี่ย"
"มันเป็นงานของมานะคะ ยังไงมาก็ต้องรับผิดชอบให้เสร็จให้ได้"
"นี่คุณตั้งใจจะฉีกหน้าผมใช่ไหม"
"ดิ๊กคะ เสื้อผ้ายุคนี้มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นเทรนด์ อย่าไปคิดอะไรมากสิคะ ถ่ายอีกไม่กี่เซตก็จะเสร็จแล้ว"
"คิดซะอย่างนี้น่ะสิ ค่าตัวถึงไม่ขยับไปไหนซะที"
"ถ้าดิ๊กไม่ชอบ ดิ๊กก็รออยู่ข้างนอกนี่ก็ได้นะคะ"
"นี่คุณไล่ผมอีกคนใช่ไหม"
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ"
"ได้...โอเค งั้นก็หาทางกลับเอาเองแล้วกัน ตัวใครตัวมัน เสียเวลาทำมาหากิน"
ประดิษฐ์ หัวเสียเดินลิ่วไปขึ้นรถ มาลินียืนละล้าละลังจะตามออกไปก็ไม่ได้...มาลินีกลับเข้าไปข้างใน เห็นพี่บ๊วยยืนหน้าหงิกเท้าสะเอวคอย จึงรีบขอโทษพี่บ๊วยและทุกคน
"เอาไปล่ามโซ่ไว้ที่ไหนล่ะ เอาตะกร้อใส่ปากไว้ด้วยรึเปล่า"
"ดิ๊กเขาก็เป็นอย่างนี้เอง พี่บ๊วยอย่าไปถือสาเขาเลยนะคะ"
"ฉันละไม่เข้าใจจริงจริ๊ง หล่อนก็ออกจะทั้งสวยทั้งเก๋ ทำไมถึงได้ยอมเป็นเบี้ยล่างผู้ชายห่วยๆอย่างนายคนนี้ด้วย มีอะไรดีอยากรู้นัก"
มาลินียิ้มเจื่อน พี่บ๊วยเซ็งจัดถอนใจดังเฮือก ก่อนร้องบอกทีมงานให้ทำงานกันต่อ
oooooooo
บ่าย วันเดียวกัน ลีนวัตร...หรือผู้ใหญ่ลีของชาวบ้าน กำลังจัดดอกไม้อยู่ในศาลาวัดซึ่งตั้งศพคุณนายวันผู้มีพระคุณของเขาและครอบ ครัวมาตลอด...ผู้ใหญ่ลีอาศัยอยู่กับแม่ปุยและลูกชายอีกคนชื่อปื๊ด
แม่ปุยหอบใบไม้ดอกไม้เข้ามาสมทบ พลางก็ถามลูกชายว่าดอกไม้พอไหม ไม่พอจะได้ให้เด็กๆไปช่วยกันหามาอีก
"น่าจะพอจ้ะแม่ เอาเท่านี้ก่อน"
ทันใด มีเสียงร้องไห้ดังโฮขึ้นมา สองแม่ลูกสะดุ้งเล็กน้อย หันมองปื๊ดที่นั่งอยู่มุมนึงถัดไป
"ปื๊ด...ร้องไห้ทำไม" ลีนวัตรถาม
"หนูคิดถึงคุณนายวันนี่พ่อ"
"หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ คุณนายวันสั่งเอาไว้ว่ายังไงจำได้ไหม"
"จำได้สิพ่อ คุณนายวันสั่งว่างานศพแกห้ามใครร้องไห้ ถ้าใครร้องแกจะมาหา"
"เออ...แล้วเอ็งก็ยังร้องอีก ไม่กลัวท่านมาหารึไง" แม่ปุยดุ
"หนูไม่กลัวหรอกแม่ คุณนายวันใจดี ถึงเป็นผีก็คงไม่ได้เป็นผีหน้าเละหรอก หนูจะกลัวทำไม"
"ไปๆ เอ็งไปช่วยพวกข้างล่างเขาดีกว่า ทำตัวให้มีประโยชน์ ไม่ใช่มานั่งขี้แงอยู่ยังงี้"
ปื๊ดเช็ดน้ำมูกแล้วคลานออกไป ลีนวัตรมองตามส่ายหน้า พอหันกลับมาที่แม่ปุย ได้ยินเสียงกระซิกๆ แล้วกลายเป็นปล่อยโฮออกมา
"อ้าวแม่...แม่นี่ก็อีกคน เดี๋ยวคนอื่นมันก็เอาอย่างหรอก"
"ไม่มีใครเห็น ช่างหัวมัน คุณนายแกเป็นคนดี ไม่ใช่ญาติแต่ก็เป็นยิ่งกว่าญาติ แล้วจะไม่ให้แม่เสียใจได้ยังไง"
"งั้นคืนนี้คุณนายวันก็คงมาหาแม่ให้หายคิดถึงแน่ๆ"
แม่ปุยสะอึกระงับน้ำตาได้ทันที เมื่อเหลือบไปมองรูปคุณนายวัน
" แต่แม่ว่าไม่มาจะดีกว่า...แม่จะไม่ร้องแล้ว ไม่อยากให้คุณนายวันแกมีกังวล" แม่ปุยเช็ดน้ำตาป้อยๆ ลีนวัตรถอนใจ หันมองรูปคุณนายวันแล้วอดนึกถึงอดีตไม่ได้...
วันนั้น ลีนวัตรเดินตามหลังคุณนายวันไปบนคันนา คุณนายวันมองท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยต้นข้าวด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ
" ถึงฉันจะต้องตายวันนี้ ฉันก็ไม่เสียดายแล้วล่ะผู้ใหญ่... ผู้ใหญ่ดูสิ ทุ่งนาที่เจ้าของเคยทิ้งขว้างมีแต่หญ้า มีแต่กกขึ้นรก วันนี้กลับมาสวยงามด้วยต้นข้าวแล้ว ก่อนนี้ฉันเคยปลงซะแล้วว่าชาวนาจะไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก เป็นพลเมืองชั้นล่างของประเทศทั้งตาปีตาชาติ แต่วันนี้ใครๆก็ต้องเห็นค่าของชาวนา เห็นค่าของข้าวแต่ละเม็ดว่ามันแลกมาด้วยหยาดเหงื่อความทุกข์ยากขนาดไหน... ฝากด้วยนะผู้ใหญ่ คนอย่างผู้ใหญ่นี่แหละที่จะเป็นอนาคตของชาวนาไทย"
คุณ นายวันโอบไหล่ลีนวัตรอย่างภาคภูมิใจ...นึกถึงแล้วลีนวัตรน้ำตาร่วงอย่างยาก จะฝืน พอแม่ปุยขยับเข้ามาใกล้ ลีนวัตรแอบป้ายน้ำตาทิ้ง แต่แม่ปุยก็ยังอุตส่าห์เห็นจนได้
"ว่าแต่แม่...ผู้ใหญ่เองก็ขัดคำสั่งคุณนายวันเหมือนกัน"
" ฉันพยายามแล้วแม่ แต่ก็อดคิดถึงแกไม่ได้ คิดถึงคุณงามความดีของแกที่ทำให้พวกเรา จะหาใครที่หัวใจแกร่งกล้าอย่างคุณนายวันแกคงไม่ได้อีกแล้ว"
"อืม...เราต้องทำบุญไปให้แกมากๆนะลูก"
"จ้ะแม่ แล้วก็สานต่อความคิดของแกด้วย แกจะได้ภูมิใจว่าความทุ่มเทของแกไม่สูญเปล่า"
"แล้วสมบัติพัสถานที่นาของแก ผู้ใหญ่จะจัดการยังไง"
"แกสั่งเสียเอาไว้ให้ติดต่อหลานสาวคนเดียวของแกจ้ะแม่"
"สมบัติไม่ใช่น้อยๆ เป็นผู้หญิงยิงเรือด้วย จะจัดการยังไง"
"เราแค่ช่วยดูแลเฉยๆ เขาจะจัดการยังไงก็ต้องแล้วแต่ เขาละจ้ะแม่"
แม่ปุยไม่ออกความเห็นอะไรอีก ได้แต่พยักหน้ารับรู้
oooooooo

ใน สตูดิโอ ทีมงานเก็บข้าวของเคลียร์ทุกอย่าง ขณะที่มาลินีก็ล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเธอกำลังโทร.ตามประดิษฐ์ให้มารับกลับ แต่คำตอบที่ได้จากประดิษฐ์กลับทำให้มาลินีแอบสะอึก
"ผมไม่กลับไปให้อีตุ๊ดปากจัดนั่นมันมาด่าผมหรอก คุณเรียกแท็กซี่กลับไปเองก็แล้วกัน"
พี่บ๊วยที่ยืนมองอยู่ห่างๆเหมือนรู้แกว เดินเตร่เข้ามาเหล่มองมาลินี
"แล้วตอนนี้คุณอยู่ไหน จะกลับบ้านรึเปล่าคะ" เสียงมาลินีถามไปอีก
"อารมณ์ดีขึ้นเมื่อไหร่ผมจะกลับไปเอง" ประดิษฐ์ตอบเสร็จก็ตัดสายทันที
พี่บ๊วยเห็นมาลินีหน้าเจื่อนๆ อดปากไม่ได้อีกตามเคย
"กลับยังไงยะ"
"คงต้องเรียกแท็กซี่ค่ะ พอดีดิ๊กเขาติดธุระ"
"รถนั่นมันก็รถหล่อนไม่ใช่เหรอยะ แล้วธุระอะไรมันจะสำคัญจนมารับหล่อนไม่ได้"
"มาบอกดิ๊กเขาเองค่ะว่าไม่ต้องมา มันไกล เปลืองน้ำมันเปล่าๆ"
"หล่อนนี่ความอดทนเป็นเลิศจริงๆ ทนเข้าไปได้ผู้ชายแบบนี้"
มาลินี ยิ้มแห้งๆ ปล่อยพี่บ๊วยแกว่าของแกไป แต่ถึงยังไงมาลินีก็รักประดิษฐ์ และพร้อมจะออกรับแทนเขาทุกอย่าง...ขนาดเขาไม่ยอมมารับกลับ มาลินีก็ยังอุตส่าห์แวะไปซื้ออาหารหรูหราราคาแพง อีกทั้งผลไม้เมืองนอกที่หากินไม่ได้ง่ายๆ กลับมาเตรียมไว้รอประเคนเขา

ค่ำแล้ว อาหารและผลไม้ถูกจัดขึ้นโต๊ะภายในห้องพักหรูกลางเมืองของมาลินี แต่ประดิษฐ์ก็ยังไม่โผล่หัว...มาลินีนั่งใจลอยฆ่าเวลาด้วยการดูทีวี แต่ก็ดูเหมือนข่าวอาชญากรรมหั่นศพในจอโหดยังไงก็ไม่สามารถเรียกความสนใจเธอ ได้ เธอดูนาฬิกาเป็นระยะ จนดึกจึงปิดทีวี คิดว่าเขาคงไม่กลับมาแน่แล้ว
ขณะเดียวกันนั้น ที่บ้านผู้ใหญ่ลีแสงไฟสว่างวอมแวม ลีนวัตรกำลังนั่งเขียนจดหมายถึงหลานสาวของคุณนายวันอย่างตั้งอกตั้งใจ
" เรียนคุณมาลินีที่นับถือ...ผมมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนให้คุณ ทราบว่า คุณยายวันของคุณได้หมดบุญสิ้นใจเสียแล้ว ขณะนี้ศพได้ตั้งรอไว้ที่วัดใกล้บ้าน รอให้คุณซึ่งเป็นหลานคนเดียวของท่านมาจัดการตามประเพณี กรุณารีบมาเพราะคุณยายของคุณท่านได้สั่งเสียเอาไว้ให้ตั้งศพของท่านเพียงสาม วันเท่านั้น เพราะท่านว่าเปลือง...ด้วยความนับถือ ผู้ใหญ่ลี"
ลีนวัตรจบจดหมายอย่างสั้นกระชับแต่ได้ใจความครบ แล้วอ่านทวนอีกครั้ง ระหว่างนี้แม่ปุยเข้ามานั่งชันเข่าข้างๆลูกชาย
"เบอร์มือถือเขาไม่มีเรอะ กว่าจดหมายจะไปถึงแม่ว่าเลยสามวันตั้งศพคุณนายวันแหงๆ"
"ไม่มีหรอกแม่ คุณนายวันมีแต่ที่อยู่ทางจดหมายนี่แหละ ไม่เป็นไรหรอกหนูจะส่งด้วยอีเอ็มเอส วันเดียวอาจจะถึง"
"ตัวจริงๆเขาจะเหมือนที่เราเห็นในทีวีรึเปล่าก็ไม่รู้นะผู้ใหญ่"
"แม่อย่าไปคาดหวังอะไรให้มันมากไปนักเลย เขาเป็นคนกรุงเทพฯ เป็นคนสมัยใหม่ คงไม่ติดดินเหมือนคุณนายวันหรอก"
"นั่นสินะ แม่ก็ว่ายังงั้น เพราะถ้าเขาได้เลือดคุณนายวันไปบ้าง เขาก็น่าจะโผล่มาเยี่ยมเยียนให้เห็นหน้าค่าตากันบ้าง"
"ก็บ้านนอกมันไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าตื่นเต้นเหมือนกรุงเทพฯนี่แม่ มีแต่ท้องนากับคนจน อ้อ แล้วก็ควายด้วย เขาก็คงเหม็นสาบเขาแหละ"
พูด คุยกับแม่อีกครู่หนึ่ง ลีนวัตรก็ขอตัวกลับเข้าห้องนอน เขานั่งมองรูปตัวเองในวันรับปริญญาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มีทั้งแม่และน้องสาวสองคนยืนขนาบข้างยิ้มแย้มมีความสุขเต็มที่ แต่อีกคนที่เขาจะลืมไม่ได้ก็คือคุณนายวัน ผู้ซึ่งทำให้เขามีวันนี้ได้ เพราะขณะที่เขาเข้าเรียนมัธยม แม่ปุยก็ทำท่าจะให้เขาเรียนแค่มัธยม 3 แม่ปุยแกว่าเรียนไปก็เสียเวลาเปล่าๆ จบออกมาก็ต้องกลับมาทำนาอยู่ดี ไม่ได้ไปเป็นเจ้าคนนายคนกับเขาหรอก...วันนั้นคุณนายวันเลยติติงแม่ของเขาซะ ยกใหญ่
"แม่ปุยไม่ได้กำลังดูถูกการศึกษาอย่างเดียว แม่ปุยกำลังดูถูกลูกตัวเองด้วย ทำไมแม่ปุยไม่คิดว่าลูกมันจบออกมาแล้ว มันจะได้เอาวิชาความรู้กลับมาพัฒนาบ้านเรา โลกมันเปลี่ยนไปเยอะแล้ว แล้วทำไมเราจะยังย่ำอยู่กับที่ล่ะ"
"แต่ถ้าไอ้หมามันเรียนต่อ น้องมันสองคนก็ต้องเลิกเรียน เอาแค่ ม.3 พอ อิฉันไม่มีเงินจะส่งเรียนหรอกจ้ะ"
"ลี...ฉันถามตรงๆ ใจเราอยากจะเรียนต่อรึเปล่า"
"อยากครับ ผมอยากเรียนเกษตร"
"ดี...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา ไปตั้งใจดูหนังสือสอบเข้าให้ได้ เรื่องเงินฉันจัดการเอง แม่ปุยไม่ต้องเป็นห่วง"
นึกถึงวันนั้นแล้ว ลีนวัตรยิ้มเศร้ากับความทรงจำอันแสนดี ชีวิตครึ่งนึงของเขาถูกหล่อหลอมมาจากน้ำใจของคุณนายวัน
แต่ คนที่แทบไม่เคยรับรู้ในความเมตตากรุณาของคุณนายวันกลับกลายเป็นมาลินี หลานสาวคนเดียวที่เคยอยู่ด้วยกันตอนเล็กๆแค่ช่วงหนึ่ง พอเข้ากรุงเทพฯก็ไม่เคยเหยียบย่างมาที่นี่อีกเลย...
มาลินีสะดุ้งตื่นจาก โซฟาที่เผลอหลับ ขณะรอการ กลับมาของประดิษฐ์ เธอได้ยินเสียงเปิดประตู พอเห็นประดิษฐ์ เดินหน้ายุ่งเข้ามา มาลินีดีใจยิ้มหน้าบาน ฉอเลาะเอาอกเอาใจก่อนจะนำอาหารบนโต๊ะไปใส่ไมโครเวฟให้ใหม่ พอเขากินเสร็จเธอก็จัดแจงล้างถ้วยจาน ประดิษฐ์ตามมากอดนัวเนีย
"อุ๊ย อย่าค่ะดิ๊ก มามือเปื้อน"
" ก็ใครใช้ให้ล้างจานตอนนี้ล่ะ พรุ่งนี้แม่บ้านมันมาทำความสะอาดก็ให้มันทำก็ได้ ไม่งั้นเราจะจ้างมันทำไม" ประดิษฐ์ ใช่แต่จะปากเสีย นิสัยยังแย่ชอบพูดจาดูถูกคนเป็นว่าเล่น
มาลินี ทั้งรักทั้งหลงประดิษฐ์จนมองข้ามความไม่ดีของเขาซะหมด เธอบำรุงบำเรอเงินทองที่หามาได้ให้เขาด้วยความเต็มใจ อย่างคืนนี้ประดิษฐ์ก็อ้อนขอยืมเงินสามสี่หมื่นที่เธอเพิ่งได้จากการถ่าย แฟชั่นมาหยกๆ บอกว่าจะเอาไปซื้อนาฬิกาข้อมือรุ่นใหม่...

ooooooo

เช้า ตรู่ ลีนวัตรออกจากบ้านตัวเองไปที่บ้านคุณนายวัน เพื่อเอาข้าวเปลือกหว่านให้ไก่ที่คุณนายวันเลี้ยงไว้กินไข่ ถ้าวันไหนได้ไข่มากคุณนายวันก็เอื้อ-เฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันให้เด็กๆที่ โรงเรียน โดยลีนวัตรจะเป็นคนจัดการให้ด้วยความเต็มใจ
ความมีน้ำใจของ คุณนายวันนี่เอง ทำให้ลีนวัตรอดนึกถึงมาลินีไม่ได้ ในวัยเด็กที่ทั้งเธอและเขาเคยเจอกันที่บ้านคุณนายวัน เด็กหญิงมาลินีร้องไห้กระจองอแงร่ำร้องอยากกลับบ้าน เธอหาว่าคุณยายใจร้าย เป็นแม่มด พาเธอมาขังไว้ที่นี่ เด็กชายลีนวัตรเดินมาหยุดยืนมอง แล้วเอาพุทธาในกระเป๋ากางเกงส่งให้เด็กหญิงมาลินีกิน ทีแรกเธอบอกไม่อร่อย แต่พอกินไปกินมาติดใจ ขอเพิ่มอีกหลายลูก...
ลีนวัตรขึ้นมาบนบ้านคุณนาย วัน ยืนมองรูปถ่ายของมาลินีตอนเข้าวงการนางแบบใหม่ๆ หน้าตาท่าทางเธอยังดูเด๋อด๋าไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ลีนวัตรก็มองรูปนั้นด้วยรอยยิ้ม
"พ่อ...พ่อ" เสียงเรียกของปื๊ดทำให้ลีนวัตรที่กำลังเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปมองปื๊ดยืนอยู่ตรงประตู "พ่อจะมาบ้านคุณนาย ไม่รอหนูด้วย"
"เอ็งตื่นสายเองนี่หว่า ใครเขาจะไปรอเอ็ง คนนอนกินบ้านกินเมืองน่ะไม่เจริญหรอกนะโว้ย"
"สวยนะพ่อ"
"อะไรของเอ็ง อยู่ๆมาบอกพ่อสวย"
"หนูไม่ได้บอกพ่อสวย หนูพูดถึงหลานคุณนายวันต่างหาก ถ้าหนูจะมีแฟนหนูจะหาสวยๆยังงี้แหละพ่อ"
"ทะลึ่งแล้วไอ้นี่...ทะลึ่ง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไปเอาไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว มากวาดแล้วก็ถูเรือนให้เรี่ยม"
"ทำไมต้องกวาดต้องถูด้วยล่ะพ่อ คุณนายวันก็ไม่อยู่แล้ว"
"คุณนายวันมีพระคุณกับพวกเรามากนะปื๊ด เราต้องช่วยกันดูแลบ้านช่องสมบัติทุกอย่างของท่านไว้ให้เหมือนกับตอนที่ท่านยังอยู่กับเรา"
"จ้ะพ่อ"
"แล้วอีกอย่าง หลานสาวคุณนายท่านน่าจะมาถึงวันนี้แหละ พ่อส่งจดหมายไปตั้งแต่วันก่อนแล้ว"
"เย้..." ปื๊ดดิ้นสุดฤทธิ์ดีใจออกหน้าออกตา บอกพ่อว่า หนูอยากเห็นดาราเต็มแก่แล้ว
"น้อยๆหน่อย น้อยๆหน่อย อย่าแก่แดดแก่ลมให้มันมากนัก กวาดเรือนถูเรือนไป พ่อจะไปให้ข้าวหมูก่อน"
ปื๊ดรับคำเสียงแจ๋ว แล้ววิ่งไปหยิบไม้กวาดจัดการตามพ่อสั่งอย่างว่องไว

ooooooo

จดหมาย ของลีนวัตรส่งถึงที่พักของมาลินีแล้วก็จริง แต่มาลินียังไม่ได้หยิบมันขึ้นห้อง เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องถ่ายแฟชั่นถ่ายโฆษณา...วันนี้มาลินีไปถ่ายโฆษณากลาง แจ้งที่สวนสาธารณะ พอถึงช่วงพักมาลินีรีบโทร.ไปหาประดิษฐ์ ตั้งใจจะให้เขามารับกลับ แต่กลายเป็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเสียงงัวเงียรับโทรศัพท์แทน เพราะประดิษฐ์ยังหลับอุตุอยู่ข้างๆเจ้าหล่อนในโรงแรมม่านรูด
มาลินีได้ ยินเสียงผู้หญิงก็ตกใจ ถามหาดิ๊ก หญิงสาวจึงบอกให้รอเดี๋ยว แล้วหันมาเขย่าตัวเรียกประดิษฐ์ สงสัยว่าเมียพี่โทร.มา ประดิษฐ์กลับสะบัดหนีอย่างรำคาญ แถมโวยว่าตนไม่มีเมีย...มาลินีได้ยินชัดเจน อึ้งหน้าชา ส่วนหญิงสาวรีบกรอกเสียงมาว่าโทร.ผิดแล้ว มาลินีจึงขอโทษแล้ววางสายด้วยมืออันสั่นเทา
จู่ๆประดิษฐ์ที่นอนงัวเงียก็ ลุกพรวดขึ้นเหมือนนึกอะไรได้ เขาหยิบโทรศัพท์มากดดูเบอร์ที่เพิ่งโทร.เข้า พอเห็นเป็นเบอร์ของมาลินี ประดิษฐ์จึงตวาดดุคู่นอนว่าใครใช้ให้รับ
"ก็มันดัง...หนูรำคาญ"
ประดิษฐ์ อยากจะบ้าตาย เตรียมคิดหาวิธีแก้ตัวกับมาลินี...ขณะเดียวกัน มาลินีเสียใจจนทำงานต่อแทบไม่ได้ น้ำตามันจะเอ่ออยู่เรื่อย เธอแข็งใจทำจนเสร็จ พอเสียงผู้กำกับสั่งคัต มาลินีก็ปล่อยโฮน้ำตาร่วงพรูเป็นเผาเต่า
จากนั้นเธอโทร.นัดวลัยกับสมร สองเพื่อนสนิทไปเจอกันที่ร้านอาหาร แล้วปรึกษาเรื่องแฟนหนุ่มว่าเธอควรจะทำยังไงดี แต่เพื่อนสองคนกลับมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน วลัยฟันธงว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้ ท่าทางหลุกหลิกยังกับอะไรดี อย่างนี้ต้องเลิกสถานเดียว ขณะที่สมรบอกว่าเรื่องอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่มาลินีคิดก็ได้ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นญาติพี่น้องของเขา มาลินีน่าจะได้คุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อน
"ฉันจะบอกให้นะ ผู้ชายน่ะจริตมารยามันมากกว่าผู้หญิงซะอีก เชื่ออะไรไม่ได้แล้ว คนใจอ่อนอย่างหล่อนน่ะมีแต่จะกลายเป็นเหยื่อ" วลัยโพล่งขึ้นมา
"แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เรายุให้เขาเลิกกัน มันเป็นบาปนะวลัย" สมรท้วง
" โอ๊ยแม่คนธรรมะธัมโม ตั้งแต่เกิดมาหล่อนรู้จักผู้ชายกี่คนกันยะ ถามหน่อย ถ้าหล่อนไม่อยากเจ็บไปกว่านี้ หล่อนต้องเชื่อฉันยายมา...เลิก!"
"แต่...แต่ฉันยังรักเขาอยู่นะวลัย"
วลัยอ้าปากค้างพูดไม่ออก ได้แต่มองมาลินีเช็ดน้ำตา
ป้อยๆ

ตกค่ำ ประดิษฐ์หอบดอกไม้ช่อใหญ่มานั่งรอมาลินีอยู่ที่ล็อบบี้คอนโดฯ พอเห็นเธอก้าวเข้ามา ประดิษฐ์รีบถลาไปหา ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มาลินียังงอนไม่ค่อยอยากพูดด้วย พอเธอหนีเข้าลิฟต์ เขาก็สวมวิญญาณพระเอกวิ่งเข้ามาทั้งที่ลิฟต์กำลังจะปิด เลยโดนลิฟต์หนีบมือร้องโอดโอยราวกับเจ็บปวดนักหนา เท่านี้มาลินีก็หายงอนเป“นปลิดทิ้ง กลายเป็นอาทรร้อนใจกับความจะเป“นจะตายของแฟนหนุ่ม
มาลินีเก็บจดหมายหลาย ซองขึ้นมาที่ห้อง แต่ทำมันหล่นพื้นเกลื่อนกลาดเพราะต้องคอยประคองประดิษฐ์ แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจจดหมายเหล่านั้น เพราะถูกประดิษฐ์นัวเนียออดอ้อน แต่มาลินีไม่ลืมซักถามเรื่องผู้หญิงที่รับโทรศัพท์ ประดิษฐ์บอกว่าเป“นเพื่อน แล้วทำหัวเราะกลบเกลื่อนที่มาลินีหึงแม้กระทั่งเพื่อนของเขา
"แค่เพื่อนจริงๆเหรอคะ"
"จริง ก็มาน่ารักอย่างนี้ ดิ๊กจะมีใครได้นอกจากมาคนเดียว" เขาปากหวาน แถมหอมแก้มเธออีกหนึ่งฟอด เท่านี้มาลินีก็แทบละลาย
คุย ไปคุยมา ประดิษฐ์ถามถึงเช็คค่าจ้างที่มาลินีถ่ายโฆษณาวันนี้ ทำเป“นหวังดีจะเอาไปเข้าธนาคารให้ พอมาลินีบอกว่าเช็คยังไม่ออก ดิวเดือนนึง ประดิษฐ์ก็อารมณ์เสียทันที
"เดือนนึง...อะไร ยังงี้มันเอาเปรียบกันนี่หว่า"
"ปกติที่ไหนก็เป“นอย่างนี้ทั้งนั้น"
" มาโกหกผมมากกว่า มาไม่ไว้ใจผมใช่ไหมล่ะ" มาลินีอ้าปากค้าง "อยู่ดีๆ ก็มาสร้างเรื่องผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ บอกมาตามตรงเลยว่ามาเบื่อผมแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องอื่นขึ้นมาอ้าง คนเรารักจะอยู่ด้วยกันมันต้องไว้ใจกัน ไม่ใช่มาสงสัยเรื่องปัญญาอ่อนอะไรก็ไม่รู้"
"ดิ๊ก..."
"ได้...ในเมื่อมาคิดว่าดิ๊กเอาเปรียบโกหกหลอกลวงมา เราก็เลิกกัน ดิ๊กจะเป“นฝ่ายไปเอง"
ประดิษฐ์ ทำผลุนผลันหัวเสียออกไปจากห้องทันที มาลินีอื้ออึง ทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างไม่คาดคิด เธอควรจะเป“นฝ่ายตะโกนใส่หน้าเขา แต่เขากลับเล่นเกมนี้กับเธอเสียเอง...
หลังจากนั้นไม่นาน มาลินีก็มานั่งสะอึกสะอื้นอยู่ต่อหน้าสมรถึงบ้าน วลัยเพิ่งตามมาทีหลัง นึกว่ามาลินีถูกประดิษฐ์ทำร้าย จึงโวยวายให้เอาเรื่อง
"นี่มันลงไม้ลงมือกับหล่อนใช่ไหม แจ้งความ ต้องไปแจ้งความ"
"ดิ๊กเขาไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก ฉันต่างหากเป็นฝ่ายทำร้ายจิตใจเขา"
วลัยชะงักร้องอ้าว แล้วให้มาลินีหยุดร้องไห้ ก่อนที่ตาจะช้ำเป็นหมีแพนด้าจนถ่ายแบบเดินแบบไม่ได้...มาลินีซับน้ำตาพยายามกลั้นสะอื้น
"ความรักมันทำให้คนเราเจ็บปวดอย่างนี้เอง" สมรรำพึง
" ฉันพยายามแล้ว อุตส่าห์ถนอมน้ำใจเขา แต่ฉันมันโง่เอง ปากไม่ดี อะไรๆมันกำลังจะไปได้ดีอยู่แล้วเชียว ดิ๊กเขาก็เลย...ก็เลยเป็นฝ่ายบอกเลิกฉัน"
"งั้นก็ดีสิ...ปล่อยมันไป ผู้ชายในโลกนี้มีอีกตั้งเยอะแยะ จะมัวมานั่งเสียน้ำตาให้มันทำไม เสียศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง"
"แต่เขาอุตส่าห์รักกันมาตั้งสี่ห้าปีแล้วนะวลัย" สมรทักท้วง
"ปีเดียวก็นานเกินไปแล้ว รักกับผู้ชายห่วยๆอย่างนายประดิษฐ์เนี่ย"
"ฉันมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง บอกฉันมาตรงๆเลย สมร วลัย ฉันจะได้ปรับปรุงตัวเอง"
"แกน่ะดีพร้อมสวยเก๋ เป็นคนเดียวที่เชิดหน้าชูตากลุ่มของเราได้" สมรชื่นชมเพื่อนอย่างจริงใจ
"แต่ฉันก็ไม่ดีพอ ดิ๊กเขาถึงได้เบื่อ ถึงขนาดกล้าบอกเลิกกับฉัน"
" ฉันรู้แล้วละว่าแกมีข้อเสียตรงไหนยายมา แกใจอ่อนกับผู้ชายคนนี้เกินไป แกยอมมันทุกอย่างมันก็เลยต้องเป็นอย่างนี้ไง" วลัยพูดอย่างมีอารมณ์
"แล้วฉันควรจะปรับปรุงตัวเองยังไงดี"
"ไม่ต้องปรับปรุงอะไรเลย เลิกก็เลิก ร้องไชโยอย่างเดียว แล้วชี้หน้ามัน บอกมันไปเลยว่าอย่ากลับมาอีกนะไอ้หมาดิ๊ก"
" ฉันว่ามันรุนแรงเกินไปนะวลัย" สมรท้วงอย่างรับไม่ได้ แต่สาวห้าวอย่างวลัยไม่สน ย้ำถามมาลินีว่าอยากพ้นทุกข์ไหม ถ้าอยากก็ต้องทำอย่างที่เธอพูด
"แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ถ้าไม่มีเขา..." สิ้นเสียงโอดก่าเหว่าของแม่เพื่อนรัก วลัยอยากจะกรี๊ดให้โลกแตก...

ooooooo

0 Comments:

Post a Comment



บทความใหม่กว่า หน้าแรก

Blogger Template by Blogcrowds