ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ตอนที่ 16


เฉลากลับมาตั้งใจเรียนเหมือนเดิม เป็นที่ชื่นใจ ของแม่ปุยและลีนวัตร เช้าวันนี้ขณะที่เฉลา ฉลวย และ ปื๊ดกำลังจะออกไปเรียน ฉลวยบอกแม่ปุยว่า ถ้าตนเรียนจบ ม.6 ตนจะไปเรียนต่อที่รามคำแหง ไปอยู่กรุงเทพฯ เรียนไปทำงานไป จะได้ไม่ต้องกวนเงินแม่ แต่พอแม่ปุยถามว่าจะไปเรียนอะไร ฉลวยก็ว่ายังไม่รู้เลย เอาไว้ค่อยดูอีกที
สายหน่อย มาลินี วลัย และสมรออกไปตลาด ประดิษฐ์ ติดสอยห้อยตามอีกตามเคย สาวๆเลือกของกันสนุก ประดิษฐ์ กลับหน้ามุ่ยไม่มีอารมณ์ร่วม แต่ก็ไม่ยอมไปไหน ประกบติดมาลินีอยู่อย่างนั้น
"ไปกันรึยังครับมา ร้อนจะตาย แอร์ก็ไม่มี เหงื่อผมออก เต็มหลังเต็มคอไปหมดแล้ว"
"ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาก็ไม่เชื่อ"
"นายจะไปไหนก็ไปนายดิ๊ก บอกได้เลยว่าพวกฉันคงจะช็อปปิ้งกันอีกนาน" วลัยพูดอย่างไม่ชอบใจ
"งั้นมาเอากุญแจรถมาให้ดิ๊ก ดิ๊กจะไปคอยที่รถ"
"จะ ไปเปิดแอร์นั่งสบายใจในรถนะเหรอ ฝันไปเหอะ น้ำมันไม่แพง แต่โลกมันร้อน ทำตัวให้ทันสมัยหน่อยคุณดิ๊ก" สมรว่าให้ มาลินีเองก็ไล่ประดิษฐ์ จะไปไหนก็ไป อีกชั่วโมงถ้าจะกลับก็ไปเจอกันที่รถ
"เลยนาทีเดียวก็ไม่คอยนะ บอกซะก่อน" วลัยขู่ฟ่อ ประดิษฐ์สุดหงุดหงิด เดินออกไปทันที
"เป็นฉัน...ฉันไม่ทนแล้วนะเนี่ย นี่แกจะซื้ออะไรอีกยัยมา"
"ว่าจะหาซื้อขนมไปฝากพินเขาซะหน่อย เผื่อจะหายเศร้าเรื่องนายทองใบ"
"ฉันว่าอย่างยายพินก็ทำบุญมาใช้ได้นะ ไม่ต้องตกนรกนานเพราะต้องทนกับผู้ชายห่วยๆอย่างนายทองใบ"
"ฉันว่าผู้ชายทั้งโลกสำหรับแกนี่ไม่มีใครดีเลยซักคนมั้ง วลัย"
"มี สิยะ ก็ผู้ใหญ่ลีไง" มาลินีเขินเพราะวลัยแซวชัดๆ สมรก็กรี๊ดกร๊าด วลัยยิ่งได้ใจ เม้าท์ใหญ่ "บอกซะเลยนะ ขืนมัว แต่ไว้ตัวไม่พัฒนาความสัมพันธ์จะโดนคาบไปรับประทาน"
"ใคร?" สมรสงสัย
"จะใคร...ก็ฉันเองน่ะสิ" วลัยตอบแล้วก็หัวเราะหน้าบาน...

ประดิษฐ์เดินหน้ามุ่ยเข้ามาในร้านผู้ใหญ่โหมด แล้วทำท่าจะทะเลาะกับปทุมอีกตามเคย เพราะปทุมเดาถูกเผงว่าที่ประดิษฐ์อารมณ์ไม่ดีเพราะเด็กตัวเองกำลังมีกิ๊ก
"เด็ก ผม ยังไงก็คุมอยู่ ผมแค่มีปัญหานิดหน่อยเรื่องงานเท่านั้นเองครับผู้ใหญ่ อย่าไปพูดถึงมันเลยครับ เสียอารมณ์เปล่าๆ เงินแค่ล้านสองล้านเข้าบัญชีช้าไปวันสองวัน มันจะอะไรนักหนาวะ"
ผู้ใหญ่โหมดสำลักน้ำลาย ทันทีที่ได้ยินจำนวนเงินหลักล้าน ขณะที่ปทุมก็หูผึ่งไม่แพ้พ่อ
"โบรกเกอร์ ผมน่ะครับมันกวนประสาทนิดหน่อย วันนี้ผมเช็กดูราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นะครับ เห็นหุ้นน้ำมันมันตก ก็เลยกะว่าจะช้อนซื้อไว้หน่อย เผื่อเอาไว้ขายทำกำไรเล่นๆ มันจะให้ผมโอนเงินไปให้มันเดี๋ยวนี้ ผู้ใหญ่คิดดูสิครับ ปัญญาอ่อนไหม"
"คุณดิ๊กเล่นหุ้นด้วยเหรอคะ" ปทุมซักอย่างสนใจ
"ก็ เล่นแก้เบื่อไปยังงั้นเอง ดีกว่าเก็บเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ ดอกเบี้ยมันถูกเหลือเกินครับ ซื้อขายกันสองสามนาที ผมก็ได้กำไรแล้วห้าล้านสิบล้าน"
สองพ่อลูกมองตากันลุกวาว ผู้ใหญ่โหมดอยากรู้ว่าหุ้นเขาเล่นกันยังไง ประดิษฐ์บอกว่าผู้ใหญ่เป็นคนนอก ถ้าตนอธิบายคงต้องยืดยาว ปวดหัวแหงๆ อีกอย่างอธิบายไปก็ไม่เหมือนกับลงมือเล่นเอง
"ก็น่าสนใจนะ แล้วต้องทำยังไงบ้างล่ะ"
"ไม่ยากหรอกครับ ผู้ใหญ่แค่เอาเงินสดซักสองสามแสนมาให้ผมก็พอ เรื่องอื่นผมจัดการเอง"
ผู้ใหญ่โหมดท่าทางเชื่อ วาดฝันถึงกำไรก้อนโต แต่หารู้ไม่ว่า ประดิษฐ์แอบยิ้มเจ้าเล่ห์
ooooooo
มาลินี ตั้งใจซื้อขนมมาฝากพินให้คลายความเศร้าเรื่องทองใบ แต่กลายเป็นว่าเธอและเพื่อนๆกลับมาเจอพินหน้าระรื่นอี๋อ๋ออยู่กับทองใบ ทั้งที่เมื่อวานแทบจะฆ่ากันตาย สามสาวเลยพูดไม่ออก ได้แต่มองตากันปริบๆ อีกครู่มาลินีก็ต้องแตกตื่นเมื่อลงไปที่เล้าไก่ แล้วไม่พบไก่สักตัว เธอกลับขึ้นมาซักถามทองใบ ก็ได้ความว่าเมื่อเช้าเห็นผู้ใหญ่ลีเข้าไปที่เล้าไก่
เมื่อมาลินีมาทวง ถามเรื่องไก่ของเธอ ลีนวัตรกลับยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้เธอ บอกว่าเป็นค่าขายไก่ มาลินีทั้งโกรธทั้งเสียใจ ไม่ยอมรับเงิน แถมยังต่อว่าเขาหลายคำก่อนจะวิ่งน้ำตาคลอกลับไปเล่าให้วลัยกับสมรฟัง สองสาวช่วยกันปลอบ แต่ก็ไม่เป็นผล พอดีปื๊ดวิ่งเอาเงินจากลีนวัตรมาให้มาลินี มาลินียิ่งฉุนใหญ่ ตัดพ้อต่อว่าลีนวัตรฝากไปกับปื๊ด พอลีนวัตรฟังปื๊ดถ่ายทอดก็ยิ่งร้อนใจ รีบหาซื้อลูกเจี๊ยบห้าสิบตัวไปให้ มาลินีแทนไก่ที่ขายไป โดยบอกเหตุผลที่ขายว่า ไก่พวกนั้นแก่จนแทบจะไม่ให้ไข่แล้ว เลี้ยงต่อไปก็ไม่คุ้มค่าอาหาร มาลินีเพิ่งเข้าใจ จึงขอโทษลีนวัตรที่เธอต่อว่าเขารุนแรงไปหน่อย
ฉลวยปรึกษาลีนวัตรเรื่องจะ เรียนรามคำแหง ลีนวัตรไม่อนุญาต และไม่เห็นด้วยที่ฉลวยจะดิ้นรนเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ ทั้งที่ยังไม่มีจุดหมายว่าอยากเรียนอะไร แค่จะเลียนแบบเพื่อนฝูง แล้วแบบนี้แม่กับพี่จะภูมิใจได้ยังไง
"ฉันจะเรียนไปทำงานไป หาเงินส่งตัวเองก็ได้" ฉลวยดันทุรัง
"เอ็งทำได้ยังงั้นมันก็ดี แต่พี่ว่าเอ็งไปไม่รอดหรอกหลวย"
"พี่ ลีใจแคบ อยากจะเห็นฉันดักดานอยู่บ้านนอกมากกว่า โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ยังคิดแบบโบราณๆอยู่ได้" ฉลวยบ่นอย่างขัดใจ แต่แม่ปุยนั่งอึ้ง หนักใจ...
กลาง วันวันนี้ ผู้ใหญ่โหมดกับปทุมมาตั้งโต๊ะให้ชาวบ้านรับบัตรคิวเช่ารถเกี่ยวข้าว ซึ่งเขาคิดชั่วโมงละหนึ่งพัน มีชาวบ้านให้ความสนใจจำนวนมาก แต่ลีนวัตรเฝ้ามองอย่างไม่เห็นด้วย พอปทุมเข้ามาชักชวน ลีนวัตรจึงตอบแบ่งรับแบ่งสู้เพื่อรักษาน้ำใจ แต่หลังจากนั้นผู้ใหญ่โหมดโยกไปเข้าทางแม่ปุย แม่ปุยก็ว่าเรื่องนี้ต้องถามผู้ใหญ่ลี เขาเป็นคนเดียวที่จะตัดสินใจ เอาไว้จะถามให้ก็แล้วกัน...
ประดิษฐ์กะกินหัวคิว เขามาบอกมาลินีว่าผู้ใหญ่โหมดรับจ้างเกี่ยวข้าวด้วยรถชั่วโมงละพันสอง แต่พินแย้งว่าได้ยินมาแค่พันเดียว ประดิษฐ์โกรธพิน แล้วแอบด่าพินอย่างหยาบคาย เมื่อได้คำตอบจากมาลินีว่าเธอขอคิดดูก่อน หลังจากนั้นมาลินีไปปรึกษาลีนวัตร เธอจึงได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน
"ชาวนา ส่วนใหญ่ไม่มีทางรู้หรอกครับว่าตัวเองเกี่ยวข้าวแล้วจะเหลือเงินเท่าไหร่ จนกว่าข้าวจะถูกส่งไปถึงโรงสีโน่นแหละ แม้แต่ราคาข้าวทั้งที่รัฐบาลประกาศ มันก็ไม่เคยเป็นไปตามนั้นซักที เพราะต้องถูกหักค่าความชื้น ค่าเปอร์เซ็นต์ข้าว บางรายพอหักค่าเช่านา ค่าปุ๋ย ค่ายา ส่งดอกเงินกู้ ก็หมดตัวพอดี ที่ติดลบก็มีไม่ใช่น้อย สรุปทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ข้าวที่จะเก็บไว้กินเองยังไม่มี"
"ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมชาวนาถึงทิ้งนา"
"ไม่มีใครอยากทิ้งแผ่นดินของตัวเองหรอกครับ พวกเขาถูกปล้นมากกว่า"
"ฟังดูแล้วหดหู่จังค่ะ"
"ผม ถึงไม่เห็นด้วย แม้แต่การจ้างรถเกี่ยวข้าวของผู้ใหญ่โหมด...ผมกำลังพยายามทำให้ทุกคนเห็นว่า ทางเดียวที่เราจะลืมตาอ้าปากได้ก็คือ หยุดหนี้แล้วก็ตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ที่เหลือจะได้เป็นรางวัลสำหรับน้ำพักน้ำแรงของพวกเราครับ"
"แล้วสมัยก่อนไม่มีเครื่องจักรมาทุ่นแรง เราเกี่ยวข้าวกันยังไงคะ"
"ก็แรงงานคนนี่แหละครับ"
"พูดเป็นเล่น นาเป็นสิบเป็นร้อยไร่ จะไปเกี่ยวไหวได้ยังไงคะ"
"ไหวสิครับ คุณไม่เคยได้ยินคำว่าลงแขกเกี่ยวข้าวเหรอ"
หลัง ฟังลีนวัตรอธิบายความหมายคำว่าลงแขกแล้ว มาลินีก็กลับไปถ่ายทอดให้วลัยกับสมรอีกต่อหนึ่ง และเธอเองก็เห็นด้วยกับลีนวัตร ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะเก่า ที่ใครๆมองว่ามันคร่ำครึโบราณ แต่สำหรับเธอมองว่ามันเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุด ถ้าจะแก้ปัญหาระยะยาวของชาวนาไทย
"เรามีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง แล้วก็เหมาะสมกับสังคมของพวกเรา แล้วทำไมเราถึงลืม หรือหันหลังให้รากเหง้าของตัวเราเองล่ะ"
"แหม...ฉันรู้สึกว่าผู้ใหญ่ลีคิดอะไรทำอะไรก็ดีไปหมดเลยนะยัยมา" สมรกระเซ้ายิ้มๆ
"ก็เขาคิดดี แล้วทำดีจริงๆนี่นา เรื่องลงแขกเกี่ยวข้าวนี่ฉันจะช่วยเขาเต็มที่เลย"
"แล้วถ้าไม่มีชาวบ้านเล่นด้วยซักคนล่ะยัยมา" วลัยแย้งขึ้นมา ทำเอามาลินีนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
ooooooo
ลี นวัตรพยายามทำความเข้าใจกับชาวบ้านด้วยเรื่องลงแขกเกี่ยวข้าวดีกว่าเช่ารถ ของผู้ใหญ่โหมด แต่ชาวบ้านกลับมีข้อโต้แย้งด้วยเหตุผลตื้นๆของพวกเขา และยืนยันจะยังเช่ารถของผู้ใหญ่โหมดให้ได้ แม่ปุยและพวกมาลินีเข้าใจในความปรารถนาดีของลีนวัตร แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเขายังไง
จนกระทั่งมาลินีได้ยินปื๊ดพูดกับลีนวัตรว่า ปื๊ดจะหยุดโรงเรียนมาช่วยพ่อเกี่ยวข้าว แต่พ่อต้องเซ็นรับรองใบลาให้ปื๊ดด้วย มาลินีเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา และค่อนข้างมั่นใจว่ามันต้องได้ผลด้วย...
หลังจากคืนดีกันได้ไม่กี่วัน พินกับทองใบก็ทะเลาะกันอีกจนได้ เพราะทองใบยังแอบกินเหล้าเมาหยำเป คราวนี้พินเลยทั้งด่าทั้งทำร้ายจนทองใบหัวแตก และตัดขาดความเป็นผัวเมีย ไม่ให้ทองใบโผล่หน้ามาให้เห็นอีก...ด้านฉลวยยังมุ่งมั่นอยากไปเรียนต่อมหา วิทยาลัยในกรุงเทพฯ วันนี้ฉลวยมาปรึกษามาลินี แต่มาลินีกลับเห็นด้วยกับความคิดของลีนวัตร
"ฉันว่าก็ถูกของผู้ใหญ่ลีเขา เหมือนกันนะจ๊ะ เรื่องคิดจะเรียนต่อให้มีความรู้สูงๆเป็นเรื่องดี แต่มันจะยิ่งดีใหญ่เลย ถ้าเราคิดให้ได้ว่าเราสนใจเรื่องอะไร ถนัดเรื่องอะไรกันแน่ หรือแม้แต่เรียนจบมาเราใช้ความรู้ที่ได้มาให้เป็นประโยชน์ยังไง แล้วเลือกเรียนตามนั้น ไอ้เรื่องเรียนตามคนอื่นเพราะคิดไม่ออก มันก็เท่ากับเราเองก็ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอนั่นแหละ"
"ก็เพื่อนๆหลวยตั้งหลายคนเขาเข้ากรุงเทพฯกัน"
"หลวยก็เลยอยากไปบ้าง"
"แล้วกรุงเทพฯมันไม่ดีตรงไหน พี่ลีเขาถึงไม่อยากให้ หลวยไป หลวยไม่เข้าใจจ้ะ"
"ไม่ ใช่ว่ากรุงเทพฯไม่ดีหรอกนะหลวย แต่ถ้าจะถามฉัน ฉันว่าทุกวันนี้กรุงเทพฯแน่นเกินไปแล้ว ฉันเป็นคนกรุงเทพฯตั้งแต่เกิด ฉันว่าฉันรู้ดี ในเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าการเข้าไปแออัดยัดเยียดกันอยู่ในกรุงเทพฯ ทำไมเราจะไม่เลือกล่ะ"
ฉลวยนิ่งเงียบฟังแต่ในใจยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี ...หลังจากนั้น มาลินีออกจากบ้านมุ่งหน้าไปโรงเรียนที่ปื๊ดเรียน เด็กๆเห็นมาลินีก็นึกว่าดารา ปื๊ดได้ทีคุยอวดว่าเธอเป็นแม่ของตนเอง แล้วปื๊ดก็จูงมือมาลินีไปพบครูใหญ่ตามความต้องการของมาลินี...
ตกเย็น ชาวบ้านยกโขยงกันมาที่บ้านผู้ใหญ่ลี ตอนแรกลีนวัตรตกใจนึกว่ามีใครเป็นอะไร แต่พอได้ฟังชาวบ้านบอกว่า จะมาถามเรื่องลงแขกเกี่ยวข้าว ถ้าจะทำกันจริงๆ ผู้ใหญ่ยังจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้พวกเราได้ไหม ลีนวัตรถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน ถามทุกคนว่านึกยังไงถึงได้เปลี่ยนใจ
"ครูใหญ่น่ะสิ แกประกาศปิดโรงเรียนสองวีกเลย ให้เด็กๆมันมาช่วยเกี่ยวข้าว"
"ลูก ฉันมันกลับบ้าน มันว่านาของเราแท้ๆ ทำไมเราไม่ทำเอง ทำไมต้องไปจ้างคนอื่นให้เสียเงินด้วย มันว่ามันอยากลงแขกเกี่ยวข้าวกับผู้ใหญ่"
"ลูกฉันมันก็ว่า เกิดมาเป็นชาวนาแต่เกี่ยวข้าวไม่เป็นก็เสียชาติเกิดเป็นชาวนา ผู้ใหญ่ฟังมันว่าก็แล้วกัน ฉันละอายจนไม่รู้จะอายยังไง"
"เรามาลงแขกเกี่ยวข้าวกันนะผู้ใหญ่นะ"
เสียงเรียกร้องของชาวบ้านทำเอาลีนวัตรยิ้มออก แม่ปุยเองก็พลอยเป็นปลื้ม
"เรื่อง นั้นไม่ยากหรอก ขอแค่ทุกคนเต็มใจที่จะร่วมแรงร่วมใจกันเท่านั้นเอง แต่ฉันอยากรู้ว่าใครที่ทำให้ความคิดดีๆอย่างนี้เกิดขึ้นได้" ขาดคำของลีนวัตร ปื๊ดก็เดินฝ่ากลุ่มชาวบ้านออกมายืนยืดเต็มที่
"จะใครล่ะพ่อ ถ้าไม่ใช่ปื๊ด"
"เอ็งเนี่ยนะ ไอ้ปื๊ด"
"ถ้าไม่ได้ปื๊ด แม่มาก็ไม่ได้คุยกับครูใหญ่หรอกพ่อ"
หลังรู้ที่มาที่ไปจากปื๊ดแล้ว ลีนวัตรรีบไปพบมาลินีถึงบ้าน แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร มาลินีก็ออกตัวว่า
"ฉัน ไม่ได้หลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือนะคะ ฉันแค่รู้สึกว่าบางทีผู้ใหญ่ก็ดื้อเกินกว่าที่เราจะโน้มน้าวความคิดได้ โฆษณาขายของในทีวียังต้องอาศัยเด็กเป็นตัวชักจูงพ่อแม่ ให้คนเป็นพ่อแม่ตัดสินใจตามลูกเลยนี่คะ"
"ยังไงผมก็ต้องขอขอบคุณคุณมาอยู่แล้วครับ ถ้าไม่ได้คุณมา สิ่งดีๆก็คงไม่เกิดขึ้นที่คลองหมาหอน"
"ฉันสงสารคนบางคนที่เสียหน้ามากกว่าค่ะ"
"ทีหลังผมจะได้ทำเรื่องให้ตัวเองเสียหน้าอีกบ่อยๆ คุณมาจะได้เห็นใจผมอีกไงครับ"
"คนบ๊อง" มาลินีขวยเขิน ทันใดนั้นเอง ประดิษฐ์เดินอาดๆเข้ามาหน้าตาขึงขัง
"มาครับ...มันเรื่องอะไรมานั่งคุยลับๆล่อๆกับไอ้บ้านี่ เดี๋ยวใครเห็นก็เอาไปนินทาหรอก"
"ใครจะนินทาค่ะ นอกจากคุณ" มาลินีย้อนเข้าให้ ประดิษฐ์ถึงกับสะอึกอึ้งไปเหมือนกัน
"นี่ดิ๊กหวังดีนะถึงได้เตือน"
"ขอบ คุณ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้...พรุ่งนี้เจอกันนะคะผู้ใหญ่ลี" มาลินียิ้มให้ลีนวัตรอีกนิด ก่อนเดินกลับเข้าบ้าน ประดิษฐ์ฉุน พาลจะเอาเรื่องลีนวัตรให้ได้
"ลื้อนี่มันชักจะหนักข้อขึ้นทุกทีแล้วนะ นัดแฟนอั๊วทำอะไร"
"เป็น แฟนกันคุณก็ต้องรู้สิว่าแฟนคุณเขานัดผมทำอะไร ยกเว้นว่าคุณมาเขาไม่คิดว่าคุณเป็นแฟน" ยอกย้อนให้แสบๆคันๆแล้วลีนวัตรก็เดินยิ้มออกไป
"ไอ้บ้า!" ประดิษฐ์ยัวะจัด เตะลมแล้งระบายอารมณ์
ขณะ เดียวกันนั้น ผู้ใหญ่โหมดกำลังหงุดหงิดหัวเสียอย่างหนัก เพราะมีชาวบ้านหลายราย โทร.มายกเลิกเช่ารถเกี่ยวข้าว โดยเปลี่ยนไปใช้วิธีลงแขกแทน ปทุมเองก็เจอแบบเดียวกันนี้เหมือนกัน วิ่งหน้าตื่นมาบอกข่าวร้ายกับพ่อ
"พ่อ...ไอ้พวกคลองหมาหอนมันโทร.มาบอกเลิก
คิวจองรถเกี่ยวข้าวของเราตั้งห้ารายแน่ะ มันบอกจะลงแขกเกี่ยวข้าวกันเอง"
"ข้ารู้แล้วโว้ย...กำลังเครียดอยู่เนี่ยไม่เห็นรึไง...โง่ชิบเป๋ง มีรถเกี่ยวข้าวเท่ๆให้ใช้ เสือกไม่ใช้"
"นั่น สิพ่อ แต่ช่างหัวมันเถอะ ปล่อยให้มันโง่เง่าดักดานไปยังงั้นก็ดีแล้ว ไอ้พวกหลังเขาเต่าล้านปี ไม่เคยเปิดหูเปิดตาว่าโลกสมัยนี้เขาเดินกันไปถึงไหนแล้ว"
"ช่างหัวมันไม่ได้โว้ย เงินหายไปตั้งเท่าไหร่ ไอ้ผู้ใหญ่ลีนี่มันจ้องจะเป็นศัตรูขัดลาภกูซะจริงๆ"
"พ่อว่างานนี้ผู้ใหญ่ลีเล่นเราอีกแล้วหรอ"
"ไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใครวะ ไอ้จระเข้ขวางคลอง ก็มีมันตัวเดียวนี่แหละ" ผู้ใหญ่โหมดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้น...
ooooooo
เช้า วันรุ่งขึ้น คณะของลีนวัตรและชาวบ้านจำนวนมากก็พร้อมแล้วสำหรับการลงแขกเกี่ยวข้าว แต่ก่อนจะเริ่มลงมือ วลัยเสนอว่าโอกาสพิเศษแบบนี้ ผู้ใหญ่ลีน่าจะกล่าวอะไรให้เป็นงานเป็นการเสียหน่อย สมรรีบสนับสนุน พลางก็คะยั้นคะยอให้ผู้ใหญ่ลีทำพิธีเปิดงานสำคัญเอาฤกษ์เอาชัย
ทุกคนปรบมือด้วยความคึกคัก โดยมีวลัยกับสมรเป็นแกนนำ ปื๊ดเลยเจ้ากี้เจ้าการดึงลีนวัตรออกมายืนตรงหน้าทุกคน
"ผมดีใจที่วันนี้พวกเราได้มารวมกันเพื่อทำสิ่งที่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเราได้ทำมา จงภูมิใจและรู้ไว้เถอะว่าวันนี้
เรา มีความสุขที่สุดวันนึง ก็คือวันที่พวกเราได้ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อเกี่ยวข้าว เพราะพวกเราคือผู้ผลิตอาหารเลี้ยงคนทั้งโลก ถึงใครจะไม่สนใจความทุกข์ร้อนของพวกเราก็ช่างเขา เราก็มีศักดิ์ศรีในตัวเรา และผมอยากให้ทุกคนรู้ว่า ไม่มีใครจะดูแลพวกเราได้ นอกจากพวกเราต้องรักใคร่กลมเกลียวดูแลกันเองอย่างวันนี้ครับ"
เสียงปรบ มือดังกราวใหญ่อย่างเป็นปลื้มตื้นตันกับสุนทรพจน์ของลีนวัตร ทุกคนล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มอิ่มสุข แม้รู้ว่านาทีต่อไปนี้พวกเขาต้องเหน็ดเหนื่อยก็ตาม
"เอ้า...พวกเรา...ลุย " เหว่าตะโกนก้อง ชาวบ้าวฮึกเหิมชูเคียวเกี่ยวข้าวแทนอาวุธ แล้วเฮละโลลงนาข้าว เรียงหน้า กระดานเกี่ยวข้าวกันเป็นระวิง
ทองใบถือโอกาสนี้เข้ามาขอคืนดีกับพิน แต่พินไม่ใจ อ่อนเหมือนก่อน ซ้ำยังจะเล่นงานทองใบด้วยเคียวคมๆ จนทองใบต้องโกยหนีไม่คิดชีวิต
มาลินี เกี่ยวข้าวอย่างตั้งใจ แม้ท่าทางจะยังเงอะงะอยู่บ้างก็ตาม ลีนวัตรเป็นห่วงเธอ ขยับเข้ามาใกล้ ถามเธอว่าเหนื่อยไหม มาลินียอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็สนุกดี
"เหนื่อยก็พักก่อนก็ได้นะครับ"
"ไม่ได้หรอกค่ะ คนอื่นเขาเกี่ยวกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ฉันรั้งท้ายอย่างนี้ อายเป็นเหมือนกันนะคะ"
"ชาวบ้านเขาชมกันใหญ่ว่าหลานสาวคุณนายวันทั้งสวยทั้งน่ารัก แถมเกี่ยวข้าวก็เป็นด้วย"
"ชาวบ้านคนไหนคะ"
"อย่างน้อยก็คนที่ชื่อลีนวัตรคนนึงละครับ"
"มัว แต่มาชวนคุย เดี๋ยววันนี้ก็เกี่ยวข้าวไม่เสร็จ" มาลินีกลบเกลื่อนความเขิน ก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าว ลีนวัตร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กระแซะเข้ามาอีก แต่แล้วเขาต้องชะงักกับเสียงแปดหลอดของไอ้ลูกชายตัวดี
"พ่อ...แม่บอกว่าอย่ามัวจีบแม่มาอยู่ เดี๋ยวไม่ได้งาน"
"ไอ้ปื๊ด..." ลีนวัตรคำรามคาดโทษลูกชาย แต่กลายเป็น ว่าเขายิ่งตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านที่มองมาอย่างขำๆ
ถึง เวลาพักกินข้าวกลางวันที่เจ้าของนาจัดมาเลี้ยง ทุกคนตักอาหารแล้วมาตั้งวง กินไปคุยไปอย่างเป็นกันเอง ระหว่างนี้เอง ผู้ใหญ่โหมดขับรถยนต์เข้ามาจอด แล้วเขาลงรถมาพร้อมลูกสาวสุดสวย ตรงเข้ามาปั้นอารมณ์เบิกบานแจ่มใสใส่ทุกคน
"เป็นยังไง สวัสดีทุกคน แหม...พร้อมหน้าพร้อมตากันดีจริงๆ"
"พี่ ลีจ๋า พี่ลีเหนื่อยไหมจ๊ะ ดูสิเหงื่อเต็มหน้าเลย มาทุมเช็ดเหงื่อให้จ้ะ" ว่าแล้วปทุมก็ถึงเนื้อถึงตัวลีนวัตรทันที วลัยหมั่นไส้เหลือรับ ถึงกับกินข้าวไม่ลง บอกมันพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก ปทุมรู้ว่าถูกแขวะ สะบัดหน้าใส่วลัยพรืด
"ผู้ใหญ่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ" ลีนวัตรเอ่ยถาม
"เปล่าๆ แค่แวะมาดูเท่านั้นเองว่าเกี่ยวข้าวกันไปได้แค่ไหนแล้ว ถ้าใช้รถป่านนี้ก็เสร็จไปแล้ว ขนข้าวไปโรงสีได้แล้ว มาหลังขดหลังแข็งเหงื่อไหลไคลย้อยกันอยู่ได้"
"ผู้ใหญ่คงยังคาใจเรื่องที่ชาวบ้านเลิกใช้บริการรถเกี่ยวข้าวของผู้ใหญ่อยู่ละมัง"
"ไม่ๆๆ คาจงคาใจอะไรกันผู้ใหญ่ลี ผมน่ะมีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ ผมเคารพการตัดสินใจของชาวบ้านอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา...แม่ปุย เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เหนื่อยไหม"
ผู้ใหญ่โหมดตรงรี่เข้าไปป้อแม่ปุย ขณะที่ปทุมยังคงเกาะติดลีนวัตรแจ แต่มาลินีนิ่งเฉยไม่ได้ใส่ใจ...พอทุกคนเริ่มลุยเกี่ยวข้าวกันต่อ ผู้ใหญ่โหมดกับปทุมก็มีอันต้องถอยกลับไปที่รถ ยืนกัดกรามกรอดๆ ด้วยความเจ็บใจ
"เงินเป็นแสนๆหลุดมือกูไปหมดเลย ไอ้พวกบ้า"
"พ่อ... หนูไปรู้มาว่าโรงเรียนปิดให้ไอ้พวกเด็กๆมันมาช่วยพ่อแม่เกี่ยวข้าว เพราะนังหลานสาวคุณนายวันมันไปอ้อนครูใหญ่ถึงที่โรงเรียนเลยนะ"
"จริงหรอวะ อีนังคนนี้มันชักจะจุ้นจ้านหนักข้อขึ้นทุกที"
"ทุม ก็หมั่นไส้มัน พ่อดูสิ มันกระแดะทำเป็นเกี่ยวข้าว อยากจะอ้วก ทำเป็นชาวนา น่ารักตายละ มันน่าเอาน้ำกรดสาดให้หน้าเละเป็นผีนัก" ปทุมไม่พูดเปล่า จิกตาจ้องไปยังมาลินีด้วยความแค้นที่แน่นอก
ooooooo
ขณะเดินไปส่ง มาลินีที่บ้าน หลังจากเสร็จสิ้นการเกี่ยวข้าวในตอนเย็น ลีนวัตรพยายามให้กำลังใจมาลินีที่เพิ่งจะสัมผัสกับงานแบบนี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งเขาก็เป็นห่วงกลัวมาลินีจะท้อ เพราะอีกหลายวันกว่าจะถึงคิวเกี่ยวข้าวในนาของเธอ
"ไม่หรอกค่ะ ต่อให้เป็นคิวสุดท้ายฉันก็รอได้ ถึงจะช้าหน่อย แต่ก็ไม่มีใครทิ้งเรานี่ค่ะ"
"นี่ ถ้าคุณยายคุณท่านยังอยู่ ท่านคงมีความสุขมากที่ได้เห็นชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันอย่างนี้ ท่านเคยบอกว่าท่านจะภูมิใจมาก ถ้าท่านทำให้คนหนุ่มสาวที่ทิ้งไร่ทิ้งนาไปหางานทำในกรุงเทพฯ เปลี่ยนใจกลับมาบ้านเกิด มาช่วยกันทำให้ท้องไร่ท้องนาไม่ต้องเงียบเหงาอีกต่อไป"
"ถ้าพวกเขา เปลี่ยนความคิดซะใหม่ ว่าการอยู่อย่างสมถะพอเพียงไม่ใช่ความทุกข์ แต่จริงๆแล้วมันคือความสุขที่ยั่งยืน อะไรๆก็คงจะดีขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องคิดถึงบ้านเกิดบ้างแหละค่ะ"
"นั่นสิครับ ยิ่งถ้าพวกเขาตั้งสติให้ได้ เขาจะเห็นว่าในโลกนี้ไม่มีแผ่นดินผืนไหนจะอุดมสมบูรณ์เท่าแผ่นดินผืนนี้อีก แล้ว แล้วพวกเขาจะดิ้นรนไปหาอะไรกัน ในเมื่อปู่ย่าตายายได้สั่งสมเอาไว้ให้แล้ว ประเทศนี้เป็นประเทศเกษตรกรรม ไม่ใช่อุตสาหกรรม แล้วทำไมต้องเอาอะไรต่ออะไรมายัดเยียดให้พวกเราด้วย"
มาลินีฟังแล้วนึกขำ กระเซ้าเขาว่า ถ้าเป็นสมัยก่อนเธอคงไม่กล้าเดินกับเขา เพราะอย่างเขานี่แหละเรียกว่าคอมมิวนิสต์
"แต่วันนี้คุณมากล้าเดินกับผมนี่ครับ"
"ก็วันนี้ฉันว่าฉันก็เป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกันนี่คะ"
ลีนวัตรเป็นปลื้ม รู้สึกว่าแต่ละนาทีเขายิ่งรักผู้หญิงคนนี้ขึ้นทุกที...
หลัง อาหารค่ำ มาลินีถูกวลัยกับสมรกระเซ้าเหย้าแหย่ เรื่องลีนวัตร ในขณะที่สาวๆหัวเราะกันสนุกอยู่นั้น จู่ๆพินก็ปล่อยโฮออกมากลบเสียงหัวเราะของทุกคน
"เป็นอะไรยัยพิน ร้องไห้ทำไม" สมรข้องใจ
"พวก คุณใจร้าย ไม่นึกถึงจิตใจพินเลย พินมันคนอาภัพ มีรักก็เป็นรักลวง น้อยใจตัวเองนัก ชาตินี้จะได้พบได้เจอผู้ชายดีๆอย่างผู้ใหญ่ลีกะเขาบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้" ว่าแล้วพินก็ยกจานชามเดินร้องไห้ออกไป

"ยัยมา ฉันว่าแกปล่อยให้แม่บ้านแกฟังละครวิทยุมากไปแล้วละ สำนวนโวหารยังกะบทกวี" วลัยโพล่งขึ้นมา ขณะที่สมรกลับทำท่าเหมือนคนละเมอ
"ฉัน น่ะเคยปลงตกซะแล้วว่าผู้ชายในโลกนี้น่ะคงไม่ โคจรมาเจอผู้หญิงสวยๆอย่างฉันได้หรอก แต่แกจะว่าฉันกลืนน้ำลายตัวเองฉันก็ยอมละ ตั้งแต่ฉันได้รู้จักผู้ชายที่ชื่อผู้ใหญ่ลี... กรี๊ด..." สมรกรี๊ดอย่างสุดจะกลั้น ประดิษฐ์เดินเข้ามาทันได้ยิน ต่อว่าอย่างไม่พอใจ
"ชื่นชมมันเข้าไป อีกหน่อยมันก็คงกลายเป็นเทวดาหรอก"
"ไม่ ต้องอีกหน่อยหรอก ตอนนี้ผู้ใหญ่ลีเขาก็เป็นเทวดาสำหรับใครหลายๆคนอยู่แล้วนายดิ๊ก รวมฉันด้วยคนนึง" วลัยลอยหน้าตอบโต้ ประดิษฐ์ยิ่งฮึดฮัดขัดใจ
"ก็คอยดูแล้วกันว่ามันจะเป็นเทวดาได้ซักกี่น้ำ" ประดิษฐ์ ปึงปังออกไปทันที

ooooooo

0 Comments:

Post a Comment



บทความใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก

Blogger Template by Blogcrowds